อิสลามเป็นสถาบันศาสนาที่จำเป็นต้องได้รับการขับเคลื่อนและดูแลรักษาโดยผู้ที่มีความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณและละเว้นจากกิเลศทุกประการ ทั้งนี้ก็เพื่อถ่ายทอดสารธรรมคำสอนของอิสลามแก่ชนรุ่นหลัง ตลอดจนบังคับใช้บทบัญญัติในสังคมมุสลิมอย่างรอบคอบ จากการที่การชี้นำมนุษย์สู่หนทางที่เที่ยงตรง ถือเป็นจุดประสงค์หลักที่อัลลอฮ์ทรงสร้างสากลจักรวาล วิทยปัญญาแห่งพระองค์ย่อมกำหนดว่าภายหลังการจากไปของท่านนบี(ซ.ล.) ควรจะต้องมีผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำต่อไป ทั้งนี้ก็เพื่อธำรงค์ไว้ซึ่งศาสนาและทางนำสำหรับมนุษยชาติ และไม่ทอดทิ้งมนุษย์ให้อยู่กับสติปัญญา(ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกกิเลสครอบงำ)โดยลำพัง จนถึงตรงนี้เราสามารถจะพิสูจน์ได้ด้วยสติปัญญาว่า จะต้องมีอิมาม(ผู้นำ)ผู้รู้แจ้งเห็นจริง สืบทอดต่อจากท่านนบี(ซ.ล.)ในทุกยุคสมัย เพื่อชี้นำประชาชาติและธำรงค์ไว้ซึ่งศาสนา ตลอดจนบังคับใช้บทบัญญัติในสังคมมุสลิม
ทว่าการพิสูจน์ตำแหน่งผู้นำของท่านอิมามอลี(อ.)ถือเป็นหัวข้อสำคัญในหลักอิมามัตเชิงเจาะจงบุคคล ซึ่งไม่อาจจะพิสูจน์ด้วยหลักฐานทางสติปัญญา เพราะสติปัญญาพิสูจน์ได้เฉพาะความจำเป็นต้องมีผู้นำทุกยุคสมัย[1] แต่หากต้องการพิสูจน์ว่า ท่านอิมามอลี(อ.)คือผู้นำและเคาะลีฟะฮ์ภายหลังนบี(ซ.ล.) จะต้องพิสูจน์ด้วยหลักฐานทางกุรอานและฮะดีษ ตลอดจนหลักฐานทางประวัติศาสตร์เท่านั้น
เราจะขอหยิบยกหลักฐานที่อ้างอิงกุรอานและฮะดีษ เพื่อพิสูจน์ตำแหน่งอิมามและเคาะลีฟะฮ์ของท่านอิมามอลี(ซ.ล.)ดังต่อไปนี้
ก. หลักฐานจากกุรอาน:
มีโองการกุรอานมากมายที่พิสูจน์ถึงตำแหน่งผู้นำของท่านอิมามอลี(อ.)และบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์(อ.) อย่างไรก็ดี นัยยะของโองการเหล่านี้[2]ต้องได้รับการพิจารณาควบคู่กับฮะดีษที่อธิบายเหตุที่ประทานโองการเหล่านี้ลงมา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นฮะดีษที่มีสายรายงานน่าเชื่อถือสำหรับทั้งฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์ ดังจะนำเสนอบางโองการดังต่อไปนี้[3]
1. โองการตับลี้ฆ: “โอ้ศาสนทูตเอ๋ย จงเผยแผ่สิ่งที่ประทานมายังเจ้าจากพระผู้อภิบาลของเจ้า หากแม้นเจ้าไม่เผยแผ่ ประหนึ่งว่าเจ้ามิได้ปฏิบัติภารกิจใดของพระองค์เลย พระองค์จะทรงปกปักษ์เจ้าจากผู้คน และพระองค์จะไม่ทรงนำทางฝูงชนผู้ปฏิเสธ”[4]
พระองค์ทรงกำชับอย่างหนักแน่นให้ท่านนบี(ซ.ล.)เผยแผ่สาส์นของพระองค์ให้จงได้ และจากรายงานทางประวัติศาสตร์ หลังจากโองการนี้ประทานลงมา ท่านนบี(ซ.ล.)ได้แต่งตั้งท่านอิมามอลี(อ.)เป็นผู้สืบทอดภายหลังจากท่าน ด้วยวาทะประวัติศาสตร์ที่ว่า “ใครก็ตามที่ฉันเป็นผู้นำของเขา อลีก็เป็นผู้นำของเขาเช่นกัน”[5]
- โองการวิลายะฮ์: “ผู้นำของสูเจ้ามีเพียงอัลลอฮ์ และร่อซูล(ซ.ล.) และผู้ศรัทธาที่ดำรงนมาซ และจ่ายทานขณะโค้งรุกู้อ์” [6]
นักฮะดีษและนักอรรถาธิบายกุรอานหลายท่านเชื่อว่าโองการดังกล่าวประทานลงมาในเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับท่านอลี(อ.)[7]
สุยูฏี ปราชญ์ฝ่ายซุนหนี่ที่มีชื่อเสียง กล่าวไว้ในหนังสือ อัดดุรรุ้ลมันษู้ร โดยรายงานจากอิบนิ อับบาสว่า “ขณะที่อลี(อ.)อยู่ในท่าโค้งรุกู้อ์นมาซ มีผู้ขัดสนคนหนึ่งเดินเข้ามาเพื่อขอบริจาค ท่านได้มอบแหวนให้ขณะนมาซ เมื่อท่านนบี(ซ.ล.)ถามผู้ขัดสนว่า ใครให้แหวนวงนี้แก่เธอ? เขาชี้ไปที่อลี(อ.)พร้อมกับกล่าวว่า ชายคนที่กำลังโค้งรุกู้อ์นั่นขอรับ” หลังจากนั้น โองการดังกล่าวก็ประทานลงมา[8]
นอกจากนี้ ผู้รู้สายซุนหนี่ท่านอื่นๆ อาทิเช่น วาฮิดี[9] และซะมัคชะรี[10] ก็ได้รายงานเหตุการณ์ดังกล่าวพร้อมกับยืนยันว่าโองการนี้เกี่ยวข้องกับท่านอลี(อ.)
ฟัครุร รอซี รายงานจากอับดุลลอฮ์ บิน สะลามว่า“เมื่อโองการนี้ประทานลงมา ฉันกล่าวกับท่านนบี(ซ.ล.)ว่า กระผมเห็นกับตาว่าอลี(อ.)ได้บริจาคแหวนแก่ยาจกในขณะกำลังโค้งรุกู้อ์ และด้วยเนื้อหาของโองการนี้ เราจึงยอมรับภาวะผู้นำของเขา!” นอกจากนี้ ฟัครุร รอซี ยังรายงานฮะดีษจากท่านอบูซัรเกี่ยวกับโองการนี้ไว้เช่นกัน.[11]
ฏอบะรีก็ได้รายงานฮะดีษที่เกี่ยวกับโองการนี้ไว้หลายบทด้วยกัน ซึ่งฮะดีษส่วนใหญ่ยืนยันเป็นเอกฉันท์ว่า “โองการนี้ประทานลงมาเกี่ยวกับท่านอลี(อ.)”[12]
อัลลามะฮ์ อะมีนี ได้นำเสนอฮะดีษที่ยืนยันว่าโองการดังกล่าวประทานลงมาเกี่ยวกับท่านอิมามอลี(อ.)โดยอ้างอิงจากตำราฮะดีษที่มีชื่อเสียงของฝ่ายซุนหนี่กว่ายี่สิบเล่ม โดยระบุรายละเอียดที่มาของแต่ละฮะดีษ[13]
อนึ่ง เนื้อหาของโองการนี้ระบุชัดเจนว่าภาวะผู้นำของท่านอิมามอลี(อ.)นั้น สืบทอดมาจากภาวะผู้นำของอัลลอฮ์และท่านนบี(ซ.ล.) - โองการอุลิ้ลอัมร์: “โอ้บรรดาผู้ศรัทธา จงภักดีต่ออัลลอฮ์ และจงภักดีต่อร่อซู้ล และอุลิ้ลอัมร์(ผู้นำ)ในหมู่สูเจ้า”[14]
นักวิชาการหลายท่าน[15]ให้ความเห็นว่าโองการนี้เกี่ยวข้องกับท่านอลี(อ.)
อาทิเช่น ฮากิม ฮัสกานี (นักตัฟซี้ร(อรรถาธิบายกุรอาน)ฝ่ายซุนหนี่ที่มีชื่อเสียง) ได้รายงานฮะดีษห้าบทเกี่ยวกับโองการนี้ โดยทั้งหมดได้ระบุว่า อุลิ้ลอัมร์ ในที่นี้ก็คือ ท่านอลี(อ.)[16]
ส่วนตัฟซี้ร อัลบะห์รุ้ลมุฮี้ฏ ประพันธ์โดย อบู ฮัยยาน อันดาลูซี มัฆริบี ได้แจกแจงความเห็นต่างๆเกี่ยวกับคำว่าอุลิ้ลอัมร์ โดยได้นำเสนอความเห็นของมุกอติล มัยมูน และกัลบี (นักตัฟซี้ร) ที่ระบุไว้ว่าอุลิ้ลอัมร์หมายถึงบรรดาอิมามจากเชื้อสายนบี(ซ.ล.)[17]
อบูบักร์ บิน มุอ์มิน ชีรอซี (ผู้รู้ฝ่ายซุนหนี่)ได้กล่าวไว้ในข้อเขียน“อัลเอี้ยะติก้อด”โดยรายงานจากอิบนิ อับบาสว่า โองการข้างต้นประทานลงมาในกรณีของท่านอลี(อ.)[18]
เกร็ดความรู้ในจุดนี้ก็คือ โองการดังกล่าวมีเนื้อหาที่ประสานไปในทิศทางเดียวกัน โดยมิได้กล่าวคำว่า “จงภักดี...”ซ้ำระหว่างกรณีของร่อซู้ลและอุลิ้ลอัมร์ นั่นแสดงให้เห็นว่า อุลิ้ลอัมร์จะต้องเป็นผู้ที่ปราศจากบาปกรรมทั้งปวง (มิเช่นนั้นก็คงไม่สั่งให้ภักดีโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ) ดังที่อัลลอฮ์และร่อซู้ล(ซ.ล.)ก็ปราศจากมลทินทั้งปวงเช่นกัน ซึ่งหากพิจารณาฮะดีษอื่นๆประกอบไปด้วยก็จะทราบว่า ผู้นำที่ไร้บาปก็คือบรรดาอิมามจากวงศ์วานนบีเท่านั้น
สิ่งที่นำเสนอไปทั้งหมดนั้น เปรียบเสมือนเศษเสี้ยวหนึ่งของฮะดีษทั้งหมดที่กล่าวถึงโองการที่ยืนยันความเป็นผู้นำของท่านอิมามอลี(อ.) ทั้งนี้ ฮะดีษทั้งหมดอ้างอิงจากตำราและสายรายงานที่เป็นที่ยอมรับของฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์ ซึ่งหากต้องการทราบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้เพิ่มเติม สามารถศึกษาค้นคว้าได้จากหนังสือที่เป็นที่ยอมรับทั้งสองฝ่าย
นอกจากสามโองการที่ได้อธิบายไปแล้วข้างต้น ยังมีโองการอื่นๆอีก อาทิเช่น
โองการศอดิกีน یا ایها الذین امنوا اتقوا الله و کونوا مع الصادقین [19]
โองการกุรบา قل لا اسئلکم علیه اجراً الا المودة فی القربی [20]
โองการเหล่านี้บ่งบอกถึงตำแหน่งผู้นำของท่านอิมามอลี และอิมามท่านอื่นๆ(อ.) ซึ่งได้รับการขยายความโดยฮะดีษท่านนบี(ซ.ล.)และได้รับการบันทึกไว้ในตำราของทั้งชีอะฮ์และซุนหนี่อย่างครบถ้วน
และยังมีอีกหลายโองการที่แสดงถึงความดีความชอบของท่านอิมามอลี(อ.) ตลอดจนสถานภาพของท่านที่เหนือกว่าเศาะฮาบะฮ์ท่านอื่นๆ ซึ่งหากจะพิจารณากันตามบรรทัดฐานของสติปัญญาแล้ว การยกย่องผู้ที่มีฐานะภาพด้อยกว่า ให้มีบทบาทเหนือผู้ที่มีฐานะภาพเหนือกว่านั้น ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ฉะนั้น ผลลัพท์สุดท้ายจะเป็นสิ่งใดมิได้นอกจากต้องยอมรับว่า ตำแหน่งผู้นำภายหลังท่านนบี(ซ.ล.)นั้น เป็นสิทธิของท่านอิมามอลี(อ.)เพียงผู้เดียว
ข. หลักฐานทางฮะดีษ
มีหลักฐานมากมายจากตำราอ้างอิงทั้งฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์ที่ระบุว่า ท่านนบี(ซ.ล.)เคยกล่าวไว้ว่า“อลีคือตัวแทนของฉันภายหลังจากฉัน หลังจากเขาก็สืบต่อโดยหลานรักของฉัน ฮะซันและฮุเซน โดยอิมาม(ผู้นำ)อีกเก้าท่านล้วนสืบเชื้อสายจากฮุเซน”[21] นอกจากนี้ยังมีฮะดีษอื่นๆที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น ฮะดีษเยามุดด้าร ฮะดีษมันซิละฮ์ ฮะดีษเฆาะดีรคุม และฮะดีษษะเกาะลัยน์ รวมทั้งฮะดีษที่นบี(ซ.ล.)กล่าวว่า“จะมีเคาะลีฟะฮ์สิบสองคนภายหลังจากฉัน และอิสลามจะได้รับการเทิดเกียรติโดยพวกเขา”
เพื่อได้รับความกระจ่างเกี่ยวกับฮะดีษเหล่านี้ เราขอหยิบยกสามฮะดีษเป็นกรณีตัวอย่าง
1. ฮะดีษมันซิละฮ์:
ความเป็นมาของฮะดีษนี้ก็คือ เมื่อครั้งที่ท่านนบี(ซ.ล.)พร้อมเหล่าสาวกเคลื่อนทัพจากมะดีนะฮ์เพื่อทำสงครามกับกองทัพโรมัน ณ ตะบู้ก ท่านนบี(ซ.ล.)ได้แต่งตั้งให้ท่านอิมามอลี(อ.)เป็นผู้ดูแลมะดีนะฮ์ แต่เศาะฮาบะฮ์บางกลุ่มกล่าวเสียดสีว่า “ท่านนบี(ซ.ล.)วางตัวอลีไว้เพื่อดูแลผู้หญิงและเด็กๆ” เมื่อได้ยินดังนี้ ท่านอิมามอลี(อ.)จึงนำเรียนท่านนบี(ซ.ล.) ท่านนบี(ซ.ล.)จึงได้เอ่ยประโยคประวัติศาสตร์ไว้ว่า“ฐานะภาพของเธอที่มีต่อฉัน เปรียบดั่งฐานะภาพของฮารูน(อ.)ที่มีต่อมูซา(อ.) เว้นแต่ภายหลังจากฉันจะไม่มีศาสดาท่านใดอีก”[22]
2. ฮะดีษษะเกาะลัยน์:
ฮะดีษนี้ได้รับการบันทึกไว้ในตำราชั้นนำของฝ่ายซุนหนี่เช่นกัน[23] ในช่วงปลายอายุขัยของท่านนบี(ซ.ล.) ท่านกล่าวแก่บรรดาเศาะฮาบะฮ์ว่า“โอ้ ชาวประชา อีกไม่นานฉันก็จะตอบรับคำเชิญจากอัลลอฮ์แล้ว ฉันขอฝากฝังสิ่งมีค่าสองประการไว้ในหมู่พวกท่าน นั่นคือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์ และอิตเราะฮ์ของฉัน คัมภีร์ของอัลลอฮ์เปรียบเสมือนสายเชือกที่ทอดยาวจากฟากฟ้าสู่ผืนดิน และอิตเราะฮ์ก็คือวงศ์วานของฉัน สองสิ่งนี่จะไม่พรากจากกันกระทั่งสมทบกับฉัน ณ บ่อน้ำเกาษัร พวกท่านพึงระวังว่าจะปฏิบัติต่อสองสิ่งนี้อย่างไรภายหลังจากฉัน”[24]
3. ฮะดีษเฆาะดีร:
เหตุการณ์“เฆาะดีรคุม”เกิดขึ้นช่วงปลายอายุขัยของท่านนบี(ซ.ล.) ตรงกับพิธีฮัจย์ครั้งอำลา ซึ่งท่านนบี(ซ.ล.)ได้กล่าวแก่เศาะฮาบะฮ์จำนวนมหาศาลว่า ... من کنت مولاه فهذا علی مولاه... ความว่า ...ผู้ใดที่ฉันเป็นผู้นำของเขา อลีก็เป็นผู้นำของเขา...ฯลฯ ท่านนบี(ซ.ล.)ได้กำหนดให้อิมามอลี(อ.)เป็นผู้นำภายหลังจากท่านด้วยประการฉะนี้
เหตุการณ์ดังกล่าว รายงานโดยเศาะฮาบะฮ์จำนวนมาก(110 ท่าน)[25] และตาบิอีนจำนวน 84 ท่าน ตลอดจนรายงานโดยปราชญ์ฝ่ายซุนหนี่ 36 ท่าน ซึ่งอัลลามะฮ์ อะมีนี ได้รวบรวมหลักฐานอ้างอิงที่เป็นที่ยอมรับทั้งในขุมตำราชีอะฮ์และซุนหนี่ไว้ในหนังสือ “อัลเฆาะดีร”อย่างครบครัน
สิ่งที่นำเสนอทั้งหมดข้างต้นนั้น ถือเป็นเศษเสี้ยวหนึ่งของหลักฐานอันมากมายที่ใช้ในการพิสูจน์ความเป็นเคาะลีฟะฮ์ของท่านอิมามอลี(อ.)ที่สืบทอดจากท่านนบี(ซ.ล.)ในลักษณะที่ไม่เว้นวรรค[26]
หากต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาศึกษาจาก:
ตัฟซี้รสาส์นแห่งกุรอาน, อายะตุ้ลลอฮ์ มะการิม ชีรอซี, เล่มที่ 9 (ตำแหน่งผู้นำในอัลกุรอาน,หน้า 177 เป็นต้นไป)
และดัชนี: พิสูจน์ตำแหน่งผู้นำของอิมามอลี(อ.)ในกุรอาน, คำถามที่ 324
[1] ต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ดู: ดัชนี:
เหตุผลเชิงสติปัญญาของอิมามัต,คำถามที่ 671
เหตุผลเชิงสติปัญญาของอิมามมะฮ์ดี(อ.),คำถามที่ 582
[2] เพื่อทราบว่าเหตุใดนามของบรรดาอิมามจึงไม่ปรากฏในกุรอาน ดู: ดัชนี: นามของบรรดาอิมาม(อ.)ในกุรอาน.
[3] ต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ดู: ดัชนี: เหตุผลของหลักความเชื่อเกี่ยวกับอิมามัต
[4] یا ایها الرسول بلغ ما انزل الیک من ربک... ซูเราะฮ์มาอิดะฮ์,67. ต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ดู: ดัชนี: อะฮ์ลิสซุนนะฮ์กับโองการตับลี้ฆ.
[5] ตัฟซี้รสาส์นแห่งกุรอาน,อ.มะการิม ชีรอซี,เล่ม 9 ตำแหน่งผู้นำในกุรอาน,หน้า 182เป็นต้นไป
[6] انما ولیکم الله و رسوله و الذین امنوا الذین یقیمون الصلاة... มาอิดะฮ์,55.
[7] เพราะรายงานที่เชื่อถือได้ล้วนระบุว่าผู้ที่บริจาคแหวนขณะรุกู้อ์ คือท่านอิมามอลี(อ.)
[8] อัดดุรรุ้ลมันษู้ร,เล่ม 2,หน้า 293.
[9] อัสบาบุ้นนุซู้ล,หน้า 148.
[10] ตัฟซี้ร กัชช้าฟ,เล่ม 1,หน้า 649.
[11] ตัฟซี้ร ฟัครุร รอซี,เล่ม 12,หน้า 26
[12] ตัฟซี้ร ฏอบะรี,เล่ม 6,หน้า 186.
[13] อัลเฆาะดี้ร,เล่ม 2,หน้า 52-53.
[14] یا ایها الذین امنوا اطیعوا الله و اطیعوا الرسول و اولی الامر منکم... อันนิซาอ์,59
[15] ในตัฟซี้รบุรฮานมีฮะดีษที่รายงานจากอะฮ์ลุลบัยต์เกี่ยวกับโองการดังกล่าวนับสิบฮะดีษ ซึ่งระบุว่าโองการดังกล่าวประทานมาในกรณีของอิมามอลี(อ.)และบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ที่เหลือ บางฮะดีษถึงขั้นระบุนามของอิมามแต่ละท่านจนครบสิบสอง, ตัฟซีรบุรฮาน,เล่ม 1,หน้า 381-387.
[16] ชะวาฮิดุตตันซี้ล,เล่ม1,หน้า 148-151.
[17] บะฮ์รุ้ลมุฮี้ฏ,เล่ม 3,หน้า 278.
[18] อิห์กอกุ้ลฮักก์,เล่ม 3,หน้า 425.
[19] یا ایها الذین امنوا اتقوا الله و کونوا مع الصادقین... อัตเตาบะฮ์, 119. ฮะดีษระบุว่า ศอดิกีนในที่นี้คือ ท่านอลี(อ.)และอะฮ์ลุลบัยต์ของนบี(ซ.ล.) ยะนาบีอุ้ลมะวัดดะฮ์,หน้า 115 และ ชะวาฮิดุตตันซี้ล,เล่ม 1,หน้า 262.
[20] อัชชูรอ, 33 ต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ดู: ดัชนี: อะฮ์ลุลบัยต์(อ.)กับโองการมะวัดดะฮ์
[21] ตัซกิเราะตุ้ล เคาะวาศ,ซิบฏ์ บิน เญาซี,หน้า 327. และ ยะนาบีอุ้ลมะวัดดะฮ์,สุลัยมาน กุนดูซี,หมวด 77,หน้า 444. และ ฟะรออิดุสซิมฏ็อยน์,ญุวัยนี,เล่ม 2,หน้า 134.
[22] انت منی بمنزلة هارون من موسی الا أنه لا نبی بعدی ฟะฎออิลุล ค็อมซะฮ์,เล่ม 1,หน้า 299-316.
[23] เศาะฮี้ห์ มุสลิม,เศาะฮี้ห์ ติรมิซี,เล่ม 2,หน้า 308, และ ค่อศออิศ นะซาอี,หน้า 21. และ มุสตั้ดร็อก ฮากิม,เล่ม 3,หน้า 109. และ มุสนัด อะห์มัด บิน ฮัมบัล,เล่ม 3,หน้า 17.
[24] انی اوشک ان ادعی فاجیب و انی تارک فیکم الثقلین کتاب الله عز و جل و عترتی. کتاب الله حبل ممدود من السماء الی الارض و عترتی اهل بیتی، انهما لن یفترقا حتی یردا علی الحوض فانظرونی بم تخلفونی فیهما ฟะฎออิลุล ค็อมซะฮ์,เล่ม 2,หน้า 44-53.
[25] ในจำนวนนี้มีเศาะฮาบะฮ์อย่าง: อบูสะอี้ดคุดรีย์, เซด บินอัรก็อม, ญาบิร บินอับดุลลอฮ์ อันศอรี, อิบนิอับบาส, บุรออ์ บินอาซิบ, ฮุซัยฟะฮ์, อบูฮุร็อยเราะฮ์, อิบนิมัสอู้ด, อามิร บินลัยลา
[26] เพื่อข้อมูลเพิ่มเติม โปรดอ่านหนังสือ อัลเฆาะดี้ร ของอัลลามะฮ์ อะมีนี,เล่ม 1, และหนังสือภาวะผู้นำในทัศนะอิสลาม,อ.ญะฟัร ซุบฮานี ซึ่งหน้า 274 และ 317 กล่าวเฉพาะเอกสาร เนื้อหา และบทวิเคราะห์เกี่ยวกับฮะดีษเฆาะดีร.