คำว่าความรู้นั้นมี 3 ความหมายกับ 2 นิยามกล่าวคือ :
บางครั้งคำว่า อิลม์ หมายถึงความรู้ บางครั้งหมายถึงวิทยาการ และบางครั้งก็หมายถึงสิ่งที่ได้ถูกรู้แล้ว ซึ่งทั้งสามความหมายนั้นความหมายแรกเป็นความหมายตามรากของคำ ความหมายที่สองเป็นอาการนาม ส่วนความหมายที่สามหมายถึงการอธิบายถึงวัตถุ
คำว่าความรู้ (Knowledge) นั้นมี 2 นิยามด้วยกัน กล่าวคือ บางครั้งหมายถึง ความรู้และความเข้าใจอันสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะตรงตามความเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม และบางครั้งจุดประสงค์หมายถึง ความเข้าใจที่ตรงกับความเป็นจริง
ในบทวิพากษ์เกี่ยวกับ ตะอารุฎ (ความขัดแย้ง) จุดประสงค์ของความรู้คือ การได้รับวิทยาการตามธรรมชาติ ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์ในการวิเคราะห์เหตุการณ์และวัตถุทางกายภาพ (Science)
ด้วยเหตุนี้ ตามความหมายล่าสุดนี้จะเห็นว่าในมุมมองของ คริสต์ ระหว่างคำสอนของพระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ กับการได้รับความรู้ตามธรรมชาตินั้น มีความขัดแย้งกันอันสืบเนื่องมาจาก การสังคายนาและการบิดเบือนพระคัมภีร์นั่นเอง แต่ในมุมมองของมุสลิมนั้น จะพบว่าการค้นหาความรู้สมัยใหม่ไม่ขัดแย้งกับอัลกุรอานเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าอัลกุรอานได้แจ้งข่าวถึงประเด็นใหม่ๆ เอาไว้ว่า ความรู้สมัยใหม่นั้นสามารถพิสูจน์ได้โดยประสบการณ์ ซึ่งประเด็นใหม่ๆ เหล่านั้นถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของความมหัศจรรย์เชิงความรู้ของอัลกุรอาน แต่น่าเสียดายว่าปัญหานี้เองกลายเป็นสาเหตุทำให้นักอรรถาธิบายอัลกุรอานบางกลุ่ม ไม่ใส่ใจต่อกฎเกณฑ์การตีความอัลกุรอาน (ตัฟซีร) และขาดการแยกเด็ดขาดระหว่างทฤษฎีทางความรู้แน่นอน กับและสมมติฐานทางความรู้ พวกเขาพยายามประยุกต์เอาโองการอัลกุราอนให้เข้ากับสมมติฐานทางความรู้ ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวง ตามความเป็นจริงพวกเราต่างเชื่อว่า อัลกุรอาน คือคัมภีร์แห่งการชี้นำ และอธิบายทุกสิ่งที่เป็นความการของมนุษย์ ถ้าบางครั้งอัลกุรอานกล่าวถึงปัญหาเชิงวิชาการ ก็เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลุ่มชน และเป็นส่วนหนึ่งในความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน
แต่ก็ไม่มีความจำเป็นอันใดที่เราจะต้องมาพิสูจน์ หรือกล่าวอ้างความเหนือกว่าและความเป็นสัจพจน์ของอัลกุรอาน ว่าวิทยาการทั้งหมดนั้นปรากฏอยู่ในอัลกุรอาน ถึงแม้ว่าอัลกุรอานจะโอบอุ้มเอาความรู้ที่ยังไม่ถูกรู้จักอีกจำนวนมากมายเอาไว้ก็ตาม ซึ่งในยุคสมัยนี้ได้ถูกพิสูจน์แล้วสำหรับปวงปราชญ์ที่ถวิลหาความจริงก็ตาม
ส่วนสติปัญญานั้นมีการนำไปใช้ประโยชน์ในลักษณะที่แตกต่างกัน และจุดประสงค์ของสติปัญญาในความหมายของเรา หมายถึงพลังหรือศักยภาพที่สามารถเข้าใจแนวคิดและรับรู้สิ่งเหล่านั้นได้ ด้วยเหตุนี้ นับตั้งแต่เริ่มต้นในมุมมองของศาสนาคริสต์: มีกลุ่มชนบางกลุ่มที่เชื่อว่า การสอนสั่งของศาสนาคริสต์นั้นไม่เข้ากันกับสติปัญญา และไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุผลแห่งปัญญาได้ ดังนั้น พวกเขาจึงได้แยกและประเมินความเชื่อและเหตุผลทางสติปัญญาไว้ต่างกัน ในสองลักษณะ
แต่ในมุมมองของอิสลาม, สติปัญญานั้นได้รับการยกไว้ในตำแหน่งที่มีความพิเศษ หลายต่อหลายครั้ง และอัลกุรอานหลายโองการได้กล่าวเชิญชวนและสนับสนุนประชาชนให้ใช้สติปัญญา และการใคร่ครวญ ส่วนในประเด็นเกี่ยวกับความเชื่อศรัทธา ถ้าไม่วางอยู่บนพื้นฐานของสติปัญญาไม่สามารถยอมรับได้ ส่วนในแง่ของบทบัญญัติและรายละเอียดปลีกย่อยของศาสนา ถือว่าสติปัญญาคือแหล่งอ้างอิงสำคัญในการพิสูจน์บทบัญญัติ ซึ่งบางครั้งได้มีคำกล่าวว่า ในบางกรณีถ้าสติปัญญาคือพื้นฐานสำคัญในกาพิสูจน์ความจริงแน่นอน แต่เผอิญว่าขัดแย้งกับภายนอกของรายงาน อนุญาตให้ตีความรายงานเข้าข้างสติปัญญา ซึ่งจุดประสงค์ก็คือ ให้ตีความรายงานนั้นโดยใช้เหตุผลของสติปัญญานั่นเอง
ดีนหรือศาสนา หมายถึง : ประมวลความเชื่อ จริยธรรม และบทบัญญัติ ซึ่งได้ถูกวางไว้เพื่ออบรมและพัฒนามนุษย์ และเป็นกฎที่ใช้ควบคุมภารกิจทางสังคม ซึ่งมีการกำหนดไว้ในระดับที่แตกต่างกัน
ศาสนา ในฐานะที่เป็นประมวลความรู้และเป็นบทบัญญัติ ซึ่งถูกบันทึกไว้ในความรู้แห่งพระเจ้าและแผ่นบันทึก หรือที่เรียกว่าเลาฮุลมะฮฺฟูซ และสิ่งที่ปรากฏอยู่ในคลังแห่งความรู้ของพระเจ้านั้น พระองค์ได้ประทานลงมาบางส่วนแก่บรรดาศาสดาของพระองค์ เพื่อสอนสั่งและชี้นำมวลมนุษย์ชาติไปตามความเหมาะสมตามเวลา สถานที่ และกาลเทศะ และเมื่อมนุษย์ได้ย้อนกลับไปยังสติปัญญาและเหตุผลอ้างอิงแล้ว ทุกอย่างก็จะชัดเจนขึ้นมา ซึ่งในที่สุดแล้วบางส่วนจากสิ่งเหล่านั้นก็จะกลายเป็นหลักการประมวลกฎหมาย สำหรับบุคคลทั่วไปและเป็นเป็นบัญญัติทางศาสนาสำหรับประชาชน
ดังนั้น สามารถสรุปได้ว่า ดีน หรือศาสนานั้นแบ่งออกเป็นขั้นตอนได้ดังต่อไปนี้ :
1 ดีนหรือศาสนาคือ ตัวตนของพระบัญญัติ
2 ดีนหรือศาสนาคือ ศาสดาผู้ถูกประทาน
3 ดีนหรือศาสนาคือ สิ่งที่ถูกเปิดเผย
4 ดีนหรือศาสนาคือ องค์กรหรือสถาบัน
สำหรับคำว่า ความรู้ นั้นถูกกล่าวไว้ใน 3 ความหมาย : กล่าวคือบางครั้งคำว่า อิลม์ ให้ความหมายเป็น มัซดัรรีย์ (รากของคำ) หมายถึงการรู้ หรือการรู้จัก และบางครั้งก็ให้ความหมายเป็น อิสม์มัซดาร (อาการนาม) หมายถึง หมายถึง ความรู้ บางครั้งหมายให้ความหมาย เป็นกรรมกิริยา หรือคำคุณศัพท์ที่อธิบายกรรมกริยาอีกที่หนึ่ง หมายถึง การรู้ในสิ่งทีเป็นความประสงค์ หรือเรื่องทีต้องการอยากรู้ ซึ่งเรื่องนั้นเกิดในความเข้าใจของเราพอดี
แต่บางครั้งก็ถูกนำไปใช้ในความหมายผิดๆ เช่น อิลม์ นั้นหมายถึงความรู้เพียงอย่างเดียวเป็นต้น การตีความเช่นนี้บางครั้งก่อให้เกิดความสับสนและทำให้เข้าใจผิด เช่น ความรู้สมบูรณ์ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นความสมบูรณ์ในตัวตนของมนุษย์ เกี่ยวกับการรู้จัก แต่ได้เข้าใจผิดไปว่าเป็นเป็นการพัฒนาด้านจิตภาพ หรือเป็นการเติบโตด้านความรู้และการรู้จัก ทั้งที่สิ่งนี้เป็นการผสมกันระหว่างความรู้กับสิ่งที่รู้ แน่นอน สิ่งที่มีความสมบูรณ์คือความรู้ของมนุษย์ มิใช่สิ่งที่ถูกรู้จักหรือความรู้อย่างอื่น
คำว่าความรู้ (Knowledge) นั้นมี 2 นิยามด้วยกัน
ก. ความรู้และความเข้าใจอันสมบูรณ์แบบในสิ่งที่เป็นจริงตามกล่าวคือไม่ว่าจะตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม หมายถึงทุกสิ่งในนามของรูปที่ปรากฏในความคิดในแง่ของการรู้จักบุคคล (Popper โลกที่สอง) หรือเป็นข้อเสนอเนื้อหาและความรู้ที่นำเสนอในโลกของความรู้ (Popper Third World)
ข. การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงก็คือว่า ในการอภิปรายความขัดแย้งทางศาสนากับความรู้ วัตถุประสงค์ความรู้คือศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Sciences) ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานประสบการณ์และการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ของเหตุการณ์อุปนัยและข้อเสนอวัตถุทางกายภาพ ดังนั้น สองนิยามนี้นอกเหนือไปจากสองนิยามที่ได้กล่าวถึงความรู้ (Knowledge)
คำว่า อักล์ (ภูมิปัญญา) ถูกนำใช้งานในรูปแบบต่างๆ ซึ่งวัตถุประสงค์ของเราเกี่ยวกับอักล์หมายถึง, พลังที่มีความสามารถรับรู้และเข้าใจโดยทั่วไปได้[1] และถ้าการรับรู้นี้ในบทนำของมันได้ใช้รูปแบบที่ถูกต้องในการพิสูจน์แล้วละก็ ข้อสรุปที่ได้รับก็จะถูกต้องไปด้วย.
แต่ต้องสังเกตด้วยว่าขอบข่ายของความความเข้าใจของสติปัญญานั้นจำกัดอยู่ในความรู้ทั่วไป ถ้านอกเหนือไปจากนี้ต้องอาศัยเครื่องมือเพิ่มเติมเป็นตัวช่วยเหลือ เช่น ความรู้สึกที่จะได้รับประโยชน์ อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์การรับรู้ทางประสาทสัมผัสและข้อสรุปของของพวกเขา เป็นหน้าที่ของสติปัญญา ด้วยเหตุนี้ บางครั้งเป็นข้อผิดพลาดของประสาทสัมผัส การอนุมานของสติปัญญาก็ผิดพลาดตามไปด้วย[2]
แต่คำดีน (ศาสนา) : ศาสนาหมายถึงการเชื่อฟัง, ความอ่อนน้อมถ่อมตน, การปฏิบัติตาม, การภักดี, การสวามิภักดิ์, และการจำนนต่อการตัดสิน บางครั้งในอัลกุรอานวางอยู่บนกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการตัดสินใจของมนุษย์[3] และบางครั้งถูกใช้กับศาสนาผิดๆ เช่น ระเบียบเกี่ยวกับการรวบรวมของอำนาจอธิปไตยของ Coptic ที่มีเหนือวงศ์วานของอิสราเอล[4] หรือบางครั้งศาสนาถูกใช้กับการปล้นสะดมศาสนาและพวกเคารพรูปปั้นบูชาแห่งฮิญาซ[5]
ดังนั้น ในทัศนะของอัลกุรอาน ศาสนา จึงหมายถึง : ประมวลความเชื่อ จริยธรรม และกฎหมายที่อุปถัมภ์กิจการของมนุษย์และควบคุมชุมชนและสังคม ในความเป็นจริงศาสนาคือการสร้างซึ่งบ่งบอกว่าพื้นฐานของมันครอบคลุมความรู้เกี่ยวกับมนุษย์ และจักรวาล และรอบรู้ถึงวิธีการดำเนินการขัดเกลาความเป็นมนุษย์ และแนวทางที่จะนำมนุษย์ไปสู่ความสุขนิรันดร ขณะที่ศาสนานั้นจะถูกต้องเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อได้รับการประทานและจัดระบบโดยพระเจ้าเท่านั้น[6] เพราะเพียงพระองค์เท่านั้นที่รู้จักโลกและมนุษย์อย่างเพียงพอ พระองค์จึงวางกฎเกณฑ์ของพระองค์บนพื้นฐานของความเข้าใจและการรู้จักที่ถูกต้องตามความสามารถ และศักยภาพที่ยอมรับได้ของมนุษย์[7]
จากนั้นวัตถุประสงค์ของเราจากความหมายของศาสนาคือ ศาสนาแห่งพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งสามารถพิจารณาในระดับและขั้นตอนที่แตกต่างกัน
1 ศาสนานัฟซุลอัมรี หมายถึง; สิ่งที่อยู่ในความรอบรู้ของพระเจ้า และความประสงค์ของพระผู้อภิบาลเพื่อการชี้นำมนุษย์ไปสู่ความถูกต้องและการมีอยู่ และเนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้น ศาสนาก็ต้องเป็นหน่วยเดียวกัน ซึ่งผลก็คือ โลกมีความครอบคลุมเป็นสากล จึงไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ตำแหน่ง และสถานที่
2 ศาสนาเป็นมุรซัล กล่าวคือสิ่งที่มาจากพระเจ้าเพื่อเป็นทางนำแก่มนุษย์ชาติ พระองค์ได้ประทานให้กับบรรดาเราะซูลหมดแล้ว ซึ่งแหล่งที่มาของมันมาจาก ศาสนานัฟซุลอัมรี ด้วยเหตุนี้เองศาสนาจึงต้องมีองค์ประกอบสากล และอีกด้านหนึ่งศาสนาต้องมีความเหมาะสมกับอนุชนรุ่นต่างๆ ที่ศาสนาได้ถูกส่งมาเพื่อพวกเขาด้วย และเนื่องจากสถานภาพ เวลา และสถานที่ของมวลมนุษย์ ศาสนาจึงต้องครอบคลุมทั้งองค์ประกอบสถานภาพ
3 ดีนมักชูฟ หมายถึงศาสนาที่เป็นนัฟซุลอัมร์ และดีนมุรซัล เมื่อย้อนกลับไปสู่สติปัญญาหรือเหตุผลทางการรายงานแล้ว เป็นที่ชัดเจนสำหรับบุคคลทั่วไป
4 ดีนเนะฮอดีย์ (สถาบันศาสนา) นั่นคือส่วนหนึ่งของศาสนาอันชัดแจ้งสำหรับประชาชนทั่วไป ที่ได้ตั้งเป็นสถาบันศาสนา ในรูปของระเบียบเพื่อกลุ่มชนในสังคม
เมื่ออัลกุรอานกล่าวว่า “ศาสนา ณ อัลลอฮฺคืออัลอิสลาม"[8] ได้พิจารณาที่ ดีนนัฟซุลอัมร์ และเมื่อกล่าวว่า ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาสุดท้าย และ ... ฯลฯ วัตถุประสงค์หมายถึง ศาสนามุรซัลนั่นเอง และเมื่อกล่าวว่าศาสนาเป็นเรื่องเกี่ยวกับคน วัตถุประสงค์คือ ศาสนาอันชัดแจ้ง (มักชูฟ)[9]
บางคนกล่าวว่า ศาสนาหมายถึงคัมภีร์และแบบฉบับ (ซุนนะฮฺ) ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่า ความเข้าใจทางศาสนาเป็นความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับคัมภีร์และแบบฉบับ โดยเน้นย้ำว่าสิ่งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของบุคคล เป็นสิ่งที่พบบ่อยและเป็นสากล ( Popper โลกที่สาม) ดังนั้น จึงเป็นที่เชื่อถือ[10]
แต่ควรจะสังเกตว่าการใช้ประโยชน์เช่นนี้ ประกอบกับเนื้อหาที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้น เท่ากับเป็นจำกัดความของคำว่า ศาสนา ไว้ในพื้นที่ส่วนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ถ้าหากศาสนาเป็นเพียงคัมภีร์หรือแบบฉบับ (ซุนนะฮฺ) เท่านั้น และไม่เป็นจริงตามที่ปรากฏในวัตถุประสงค์แห่งความรู้ของพระเจ้า หรือในเลาฮุลมะฮฺฟูซ (แผ่นบันทึก ณ ฟากฟ้า) จำเป็นต้องกล่าวว่า : การตีความดังกล่าวมีความคลุมเครือสำหรับศาสนา ซึ่งเราจะต้องไม่ปล่อยให้บ่วงของเขาได้ดำเนินต่อไปอีก เนื่องจากคัมภีร์และซุนนะฮฺ ได้กล่าวถึงศาสนาที่เป็น นัฟซูลอัมร์ ซึ่งศาสนาดังกล่าวได้ถูกแนะนำด้วยคัมภีร์และซุนนะฮฺ และได้ถูกแนะนำด้วยสิ่งอื่นเช่นกัน ด้วยมุมมองที่แตกต่างกันตามหลักการของวิชา เทววิทยา อุซูล ริญาล และปรัชญาของศาสนา, สึงได้ตีความว่าศาสนา คือคัมภีร์และซุนนะฮฺ; ตัวอย่างเช่น ถ้าหากในหลักวิชาอุซูลถือว่า คำพูดที่เป็น ซิกเกาะฮฺ เชื่อถือได้และเป็นเหตุผล ขอบข่ายสำหรับความหมายของศาสนาตามที่กล่าวมา จะเกิดการการเปลี่ยนแปลงทันที[11]
ศาสนาในทัศนะของชาวตะวันตก :
ความหมายของศาสนาในทัศนะของตะวันตก, ประเทศหนึ่งของมุมมองอันเฉพาะ เช่น : จากจุดของมุมมองนักจิตวิทยากล่าวว่า ศาสนาคือความรู้สึก การปฏิบัติหน้าที่และเป็นประสบการณ์ของบุคคลเมื่อเขาต้องอยู่ตามลำพัง แล้วนำตัวเองไปเผชิญกับสิ่งที่ได้เรียกด้วยนามของพระเจ้า (William James)
จากมุมมองของสังคมวิทยา พวกเขาได้ตีความศาสนาว่า : เป็นความเชื่อหนึ่ง เป็นการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งมนุษย์ได้เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา (Talkvt Parsvn)
จามมุมมองของธรรมชาตินิยมศาสนาคือ คำสั่งใช้และคำสั่งปฏิเสธ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำหรับการกระทำที่อิสระและศักยภาพตลอดจนความสามารถของมนุษย์ (Ray nakh)
จากมุมมองของศาสนานิยม ศาสนาคือคำสารภาพต่อความจริงของสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ประจักษ์ ซึ่งอยู่เหนือความรู้และภูมิปัญญาของเรา (Herbert Spencer)[12]
ดูเหมือนว่าคำนิยามที่ครอบคลุมมากที่สุดของการตีความนี้คือ ศาสนาประกอบด้วยองค์ความเชื่อ ความรู้สึก และการกระทำ (ทั้งบุคคลและส่วนรวม)
ความเชื่อได้แสดงให้เห็นว่าได้ทำลายความจริงและเท็จให้หมดไป ความเชื่อของแต่ละศาสนา, จะอธิบายการกระทำเฉพาะที่เห็นว่าศาสนานั้นยอมรับ หรือกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ความรักขึ้นมา[13]
ดังนั้น หนึ่งในนิยามของความรู้คือ ความเข้าใจที่เป็นไปตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าการประยุกต์ใช้ในตะวันตก ซึ่งในขณะที่มีการวิพากษ์ถึงการเชื่อมต่อหรือความขัดแย้งระหว่างความรู้และศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาการธรรมชาติ (วิทยาศาสตร์) ขณะที่สติปัญญา (เหตุผล) คือการรับรู้ทั่วไป ศาสนาในเวลานั้นคือ การชี้นำต่างๆ จากพระเจ้าโดยผ่านบรรดาศาสดาผ่านวะฮฺยู (วิวรณ์) ของพระเจ้าและได้ตกมาถึงมือประชาชนในที่สุด
โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาถึงความแตกต่างทั้งหลายระหว่างทั้งสาม ซึ่งการวิพากษ์ของพวกเขาได้วิพากษ์ภายใต้ 2 ประเด็น กล่าวคือ :
1 เหตุผลและศาสนา (เหตุผลและความเชื่อ) :
ในวัฒนธรรมของคริสเตียน เนื่องจากมีการบิดเบือนในศาสนาของพระเยซู (อ) จึงทำให้มีความรู้สึกว่า ระหว่างข้อมูลของสติปัญญากับคำสอนของพระคริสต์เข้ากันไม่ได้และมีความขัดแย้งกัน แล้วสิ่งที่ปรากฏตามมาคือ 2 คำถามอันเป็นพื้นฐานถูกกล่าวขานในหมู่นักวิชาการ กล่าวคือ สติปัญญาในขอบข่ายของศาสนามีที่อยู่หรือไม่? และถ้าเพื่อว่าภายนอกบุคคลหนึ่งโดยหลักการแล้วได้ใช้เหตุผลของสติปัญญาเพื่อทำความข้าใจตรงนี้ความเชื่อจะมีคำพูดใดได้อีก ? แต่คำถามที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดคือ สติปัญญาในขอบข่ายของความศรัทธาอยู่ในตำแหน่งใดหรือ;? กล่าวคือว่าบุคคลหนึ่งจำเป็นต้องมีเหตุผลแน่นอนที่น่าเชื่อถือสำหรับยืนยันถึงความเชื่อที่เป็นจริงหรือไม่ ?
สำหรับการแสวงหาตอบเพื่อคำถามนี้ เรามาทำการรู้จัก 3 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตก :
1) เหตุผลนิยมส่วนใหญ่ กล่าวคือทุกความเชื่อที่มีหลักฐานไม่เพียงพอต่อการยอมรับ จะได้รับคำสบประมาทและการวิจารณ์ ขณะที่ระบบของความเชื่อทางศาสนาจะสามารถยอมรับได้ ก็ต่อเมื่อได้มีการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริงอันเป็นที่น่าเชื่อถือในหมู่นักวิชาการ
Clifford, นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ และจอห์นล็อคมีความเชื่อเช่นนั้น ขณะที่ Aquinas ก็ได้กล่าวว่า ความจริงของคริสเตียน สามารถวิจัยในลักษณะที่ถูกต้องน่าเชื่อโดยสติปัญญาและด้วยเหตุผลที่ละเอียดอ่าน ในลักษณะที่น่าเชื่อถือในเชิงของเหตุผล ทว่าแนวทางของเหตุผลและและความเชื่อนั้นแยกจากกัน ซึ่งเราต้องตามความเชื่อไม่ใช่เหตุผล สถานะภาพของ Sweeney เบิร์น ยังอยู่ใกล้กับหลักการใช้เหตุผลมากที่สุด
2) ความเชื่อนิยม : มุมมองของกลุ่มนี้ถือว่าระบบต่างๆ ของความเชื่อในศาสนา ไม่สามารถประเมินผลได้ด้วยระบบเหตุผลหรือสติปัญญา พวกเขากล่าวอ้างว่า ระบบความเชื่อทางศาสนามีรากที่มาอันเป็นพื้นฐานมั่นคง ซึ่งไม่มีสิ่งใดเป็นพื้นฐานที่มั่นคงไปกว่านี้ได้อีก เพื่อจะได้สามารถพิสูจน์ความจริงนี้ได้ "Kyrk Guard (Kierkegaard) "เขามีความเชื่อเช่นนี้ และยังเชื่ออีกว่าทฤษฎีของปัญญาเป็นความเชื่อขัดแย้ง
แต่มุมมองนี้ ลืมไปว่าความเชื่อของผู้ศรัทธาที่บริสุทธิ์ใจคนหนึ่ง วางอยู่บนพื้นฐานที่ว่ามีผู้ชี้นำโดยหลักการ มีความครอบคลุมครบวงจรสำหรับวิธีการดำเนินชีวิตของตน อีกทั้งต้องนำเอาเป้าหมายและเหตุผลออกมาเพื่อเขาด้วย แต่หลักการนี้ไม่สามารถสรุปไดว่า ความเชื่อเหล่านี้เป็นพื้นฐานหมายถึง ความรู้อื่นและความเชื่อของบุคคลมีความรู้มากกว่าและชัดเจนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
3) หลักการของเหตุผลนิยม : ทัศนะได้อธิบายให้เห็นถึงระบบของความเชื่อทางศาสนา มีความเป็นไปได้ที่จะให้มีการตรวจสอบและประเมินผลโดยสติปัญญา แม้ว่าหลักฐานดังกล่าวจะไม่สามารถพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของระบบดังกล่าวได้ก็ตาม
วิธีการนี้เป็นประการแรก : แทนการพิสูจน์ให้ทุกคนได้รับรู้ ได้พิสูจน์เพื่อบุคคลถือว่าเพียงพอแล้ว (George Mavrvds กล่าวว่า ความเข้าใจในการพิสูจน์เราถือว่าจำเป็นต้องขึ้นอยู่กับบุคคล)
ประการที่สอง : ไม่อาจตัดสินได้อย่างจริงจังได้ว่า การวิพากษ์เกี่ยวกับความจริงและความถูกต้องของความเชื่อทางศาสนา ได้ถึงผลสรุปสุดท้ายแล้ว แน่นอน นิยามดังกล่าวยังมีระยะห่างอีกมากตามความหมายอันเป็นวัตถุประสงค์ของ Popper ที่จะนำมาประยุกต์เข้าด้วยกัน[14]
แต่ตามคำสอนของอิสลาม,