การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9172
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/04/11
คำถามอย่างย่อ
เหตุใดอัลลอฮ์จึงทรงสร้างภูตผีปีศาจ ขณะเดียวกันก็ทรงตรัสว่าภูตผีเหล่านี้จะทำอันตรายได้ก็ต่อเมื่อทรงอนุมัติเท่านั้น?
คำถาม
โองการที่101 ซูเราะฮ์บะเกาะเราะฮ์กล่าวว่า “และเหล่าภูตผีปีศาจได้สอนสิ่งที่สร้างความร้าวฉานระหว่างสามีภรรยา ซึ่งไม่สามารถทำอันตรายใดๆได้เว้นแต่ทรงประสงค์ สิ่งที่สอนสั่งนั้นล้วนแล้วแต่ให้โทษโดยปราศจากคุณประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น” เหตุใดอัลลอฮ์จึงทรงสร้างภูตเหล่านี้ ขณะเดียวกันก็ทรงตรัสว่าภูตผีเหล่านี้จะทำอันตรายได้ก็ต่อเมื่อทรงอนุมัติเท่านั้น พระเจ้าประสาอะไรปล่อยให้ภูตปีศาจทำอันตรายผู้อื่น?
คำตอบโดยสังเขป

ญิน คือสิ่งมีชีวิตที่กุรอานกล่าวว่า “และเราได้สร้างญินจากไฟอันร้อนระอุก่อนการสรรสร้าง(อาดัม)” ญินจึงถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์ซึ่งต้องได้รับการชี้นำโดยบรรดาศาสดาเช่นกัน อีกทั้งมีหน้าที่ต้องบูชาพระองค์เสมือนมนุษย์ ญินจำแนกออกเป็นกลุ่มกาฟิรและกลุ่มมุสลิมตามระดับการเชื่อฟังพระบัญชาของอัลลอฮ์ ซึ่งอิบลีสที่ไม่ยอมศิโรราบแก่นบีอาดัมในยุคแรกก็เป็นญินตนหนึ่ง
การทำอันตรายโดยการอนุมัติของพระองค์ในที่นี้ หมายถึงข้อเท็จจริงที่ว่าทุกๆพลังอำนาจที่มีอยู่ในโลกล้วนมาจากพระองค์ทั้งสิ้น แม้แต่อานุภาพความร้อนและคมมีดก็ไม่อาจทำอะไรได้หากพระองค์มิทรงยินยอม เป็นความคิดที่ผิดมหันต์หากจะเชื่อว่าจอมขมังเวทย์ทั้งหลายสามารถจะคานอำนาจของพระองค์ เนื่องจากไม่มีสิ่งใดจะสามารถกำหนดขอบเขตอำนาจของพระองค์ได้ กฏเกณฑ์เหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติและผลลัพท์ที่ทรงกำหนดแก่ทุกสรรพสิ่ง โดยมนุษย์บางคนใช้ประโยชน์ในทางที่ดี แต่ก็มีบางคนใช้ประโยชน์ในทางเสื่อมเสีย

คำตอบเชิงรายละเอียด

ภูตผีมีจริงหรือเพียงแค่ภาพหลอน?!
ในคติของคนทั่วไป ภูตผีปีศาจใช้เรียกสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเฉพาะ อันมีความเกี่ยวโยงกับซาตาน แต่ถ้าหากกล่าวในเชิงนามเฉพาะก็จะหมายถึงอิบลีสนั่นเอง[1] ที่คุณเอ่ยคำว่าภูตปีศาจในคำถามนั้น ในคติของกุรอานเรียกว่า“ญิน” ความหมายทั่วไปของคำว่าญินก็คือ “สิ่งที่ซ่อนเร้น”[2] กุรอานกล่าวถึงการสร้างญินว่า “และเราได้สร้างญินจากเพลิงอันร้อนระอุก่อนสิ่งนั้น(การสร้างนบีอาดัม)[3] ญินจึงถือเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างสมบูรณ์ที่ต้องได้รับการนำทางโดยบรรดาศาสดาเช่นกัน[4] อีกทั้งมีหน้าที่ต้องบูชาพระองค์เสมือนมนุษย์[5] โดยจำแนกออกเป็นกลุ่มกาฟิรและกลุ่มมุสลิมตามระดับการเชื่อฟังพระบัญชาของอัลลอฮ์[6] อิบลีสที่ไม่ยอมศิโรราบแก่นบีอาดัมในยุคแรกก็เป็นญินตนหนึ่ง[7]

อย่างไรก็ดี บางครั้งบุคคลทั่วไปมักจะเรียกภาพเลือนลางในจินตนาการของตนว่า“ผี” แต่หากพิจารณาถึงโองการและฮะดีษของบรรดาอิมามที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็จะทราบว่าญินคือสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่จริง

โองการที่ 102 ซูเราะฮ์บะเกาะเราะฮ์เล่าว่าชาวยิวได้เรียนรู้เวทมนตร์คาถาจากสองสำนัก
หนึ่ง. สำนักชัยฏอน ที่พยายามสอนคนทั่วไปให้เก่งกล้าคาถาอาคม เพื่อยุแหย่ให้กระทำบาปมากขึ้น
สอง. สำนักมะลาอิกะฮ์ มลาอิกะฮ์สององค์ลงมาสอนวิธีแก้คุณไสยแก่ประชาชน[8]

โองการดังกล่าวเล่าว่า อัลลอฮ์ได้ส่งมะลาอิกะฮ์สององค์[9]นามฮารู้ตและมารู้ตลงมา(ไม่ไช่ภูตปีศาจอย่างที่คุณเข้าใจ) ทั้งนี้ก็เพื่อสอนผู้คนให้แก้คาถาอาคมได้ด้วยตนเอง ทว่าผู้คนกลับเรียนเฉพาะสิ่งที่ทำให้เกิดความร้าวฉานระหว่างสามีภรรยา

ฉะนั้น ประเด็นแรกคือ ผู้คนมิได้เรียนคาถาอาคมจากภูตผีปีศาจอย่างที่คุณกล่าวมา แต่มีมลาอิกะฮ์สององค์ได้รับบัญชาให้สอนประชาชน ประเด็นที่สอง กุรอานไม่ได้กล่าวว่ามลาอิกะฮ์สององค์นี้สอนคาถาอาคมที่ทำให้ครอบครัวร้าวฉาน แต่กล่าวเพียงว่าผู้คนเลือกที่จะเรียนรู้คาถาดังกล่าวเอง[10]

เป็นที่ทราบกันดีว่าสองสำนวนข้างต้นมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บางครั้งอาจารย์ท่านหนึ่งให้ความรู้แก่นักศึกษาเพื่อจะได้เจริญก้าวหน้าทางวิชาการ แต่นักศึกษากลับใช้ความรู้ดังกล่าวในทางเสื่อมเสีย บางครั้งเรียนรู้ทักษะบางประการที่เป็นดาบสองคม แต่นักศึกษาเลือกที่จะใช้ในด้านลบเพียงด้านเดียว วิทยาการที่ใช้สร้างระเบิดทำลายล้างชนิดต่างๆในยุคบุกเบิกก็มีลักษณะเช่นนี้เนื่องจากมนุษย์บางกลุ่มใช้ความก้าวหน้าทางวิชาการในแง่ลบ

อย่างไรก็ดี หากศึกษาเหตุของการประทานโองการข้างต้นก็จะทำให้เข้าใจประเด็นดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เรื่องราวก็คือ มลาอิกะฮ์สององค์นี้รับบัญชาให้ลงมาสอนวิธีแก้ไสยศาสตร์และคาถาอาคมแก่ประชาชน โดยได้เน้นย้ำชัดเจนว่าเราสององค์เป็นการทดสอบของพระองค์ ฉะนั้นจึงอย่ากลายเป็นผู้ปฏิเสธ (และจงใช้วิชาตามจุดประสงค์ที่ถูกต้อง)[11]

ท่านผู้อ่านสามารถศึกษาเหตุแห่งการประทานโองการนี้ พร้อมกับเรื่องราวของฮารู้ตและมารู้ตได้จากคำถามที่ 4970 (ลำดับในเว็บไซต์ 5247)

ไขข้อข้องใจที่ว่าอัลลอฮ์ทรงปล่อยให้มีการทำรายผู้คนกระนั้นหรือ?”
หากพิจารณากันให้ดีถึงเนื้อหาของโองการดังกล่าวก็จะทราบว่า โองการนี้ต้องการชี้แจงข้อสงสัยข้างต้น โดยหลังจากที่พระองค์ทรงตรัสว่าผู้คนเลือกที่จะเรียนคาถาอาคมที่ทำให้ครอบครัวร้าวฉาน จุดนี้อาจเกิดข้อสงสัยที่ว่า หากเป็นเช่นนั้นจริงก็แสดงว่ามนุษย์สามารถปรับเปลี่ยนระบบโครงสร้างของโลกและทำทุกอย่างตามอำเภอใจโดยไม่ต้องพึ่งพาอำนาจของพระเจ้าได้กระนั้นหรือ? พระองค์ทรงชี้แจงว่า แม้จะใช้วิชาอาคมทำร้ายผู้อื่นได้ แต่ก็ยังอยู่ในระบบที่พระองค์ทรงวางไว้อยู่ดี...[12]

คำอธิบายเพิ่มเติม
โองการดังกล่าวต้องการจะตีแผ่แกนหลักที่สำคัญของเตาฮี้ดที่ว่า ทุกอำนาจที่มีในสากลโลกล้วนถ่ายทอดมาจากเดชานุภาพของพระองค์ทั้งสิ้น แม้แต่ความร้อนและคมหอกคมดาบก็ไม่มีอานุภาพใดๆหากพระองค์มิทรงยินยอม เป็นความคิดที่ผิดมหันต์หากจะเชื่อว่าจอมขมังเวทย์ทั้งหลายสามารถจะต้านทานอำนาจของพระองค์ได้ เนื่องจากไม่มีสิ่งใดจะสามารถกำหนดขอบเขตอำนาจของพระองค์ได้เลย กฏเกณฑ์เหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติและผลลัพท์ที่ทรงกำหนดแก่ทุกสรรพสิ่ง โดยบางคนใช้ประโยชน์ในทางดี แต่ก็มีบางคนใช้ประโยชน์ในทางเสื่อมเสีย ทั้งนี้ อิสระและเสรีภาพที่พระองค์มอบให้มนุษย์นั้น ถือเป็นสิ่งทดสอบสำหรับพัฒนาตนเอง[13]

แม้เราจะทราบดีว่าอานุภาพของทุกสิ่งล้วนขึ้นตรงต่อพระองค์ แต่ก็มิได้หมายความว่าพระองค์ทรงประสงค์จะให้มนุษย์ได้รับอันตรายจากคาถาอาคม ทั้งนี้ ที่คาถาอาคมมีอานุภาพได้ก็เพราะเป็นอีกระบบหนึ่งที่พระองค์ทรงสร้างไว้นั่นเอง ดังกรณีที่มีดสามารถเฉือนวัตถุเนื้ออ่อนได้ โดยมนุษย์ได้ใช้ประโยชน์จากกฏเกณฑ์ดังกล่าวมาโดยตลอด แต่หากเกิดเหตุการณ์ที่ผู้บริสุทธิ์ถูกแทงด้วยมีดจนเสียชีวิต ในมุมหนึ่งสามารถกล่าวได้ว่าเกิดขึ้นจากกฏเกณฑ์ทางธรรมชาติอันเป็นพระประสงค์พื้นฐานของพระองค์ แต่ย่อมมิได้หมายความว่าพระองค์ทรงอนุญาตให้อาชญากรใช้มีดแทงผู้บริสุทธิ์เป็นการเฉพาะ เนื่องจากพระองค์ทรงห้ามปรามไว้ในหลายโองการมิให้สังหารหรือลิดรอนสิทธิผู้บริสุทธิ์ โดยทรงสัญญาว่าจะลงโทษผู้อธรรมอย่างสาสม[14]

ระเบียนที่เกี่ยวข้อง
หนึ่ง. คำถามที่ 4960 (ลำดับในเว็บไซต์ 5247) ฮารู้ตและมารู้ต
สอง. คำถามที่ 2992 (ลำดับในเว็บไซต์ 3237) ความชั่วร้ายสืบเนื่องถึงพระองค์อย่างไร
 

 


[1] มุอีน,มุฮัมมัด,พจนานุกรมมุอีน,หน้า 457,สำนักพิมพ์เบะฮ์ซ้อด,เตหราน,ปี1386

[2] รอฆิบ อิศฟะฮานี,อัลมุฟเราะด้าต ฟี เฆาะรีบิลกุรอาน,เล่ม 1,หน้า 203

[3] อัลฮิจร์,27

[4] อัลอันอาม,130 (จะมีสุรเสียงจากพระองค์ในวันกิยามะฮ์ว่า) โอ้กลุ่มญินและมนุษย์เอ๋ย ไม่มีศาสนทูตจากสูเจ้ามาดอกหรือ เพื่อนำเสนอโองการของเราแก่สูเจ้า และเตือนสูเจ้าเกี่ยวกับการพบปะในวันนี้? พวกเขาตอบว่า เราขอสารภาพผิด(มีศาสนทูตมาเตือนแล้ว) ทว่าชีวิตในดุนยาได้หลอกลวงเรา (ด้วยเหตุนี้)จึงสารภาพมัดตัวตนเองว่าเคยเป็นผู้ปฏิเสธ”

[5] อัซซาริยาต,57

[6] อัลอะห์ก้อฟ,29 โองการนี้กล่าวถึงการรับอิสลามของญินกลุ่มหนึ่ง โดยโองการอื่นๆมีการกล่าวถึงกลุ่มญินผู้ปฏิเสธ ดู: ฟุศศิลัต,29  อะอ์ร้อฟ,38  อัลกาฟี,เล่ม 1,หน้า 295

[7] อัลกะฮ์ฟิ,50 “และ(จงรำลึกเถิด)เมื่อครั้งที่เราได้ตรัสแก่มลาอิกะฮ์ว่า จงสุญูดแก่อาดัม พลันพร้อมใจกันสุญูดยกเว้นอิบลีสซึ่งมาจาก(เผ่าพันธุ์)ญิน (เนื่องจากมลาอิกะฮ์ย่อมไม่ฝ่าฝืนพระองค์) และได้ผันตนออกจากคำสั่งของพระผู้อภิบาลของตน”

[8] เหตุผลที่สามารถเรียนรู้ไสยศาสตร์ได้ อาทิเช่น เพื่อแก้มนตร์ดำ หรือเพื่อต่อกรกับเหล่าจอมขมังเวทย์ ดู: ญะฟะรี,ยะอ์กู้บ,ตัฟซี้รเกาษัร,เล่ม,หน้า

[9] عن الرضا(ع):وَ أَمَّا هَارُوتُ وَ مَارُوتُ فَكَانَا مَلَكَيْنِ عَلَّمَا النَّاسَ السِّحْرَ لِيَحْتَرِزُوا بِهِ سِحْرَ السَّحَرَةِ وَ يُبْطِلُوا بِهِ كَيْدَهُم ดู: วะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 17,หน้า 147,หมวดห้ามเรียนรู้เวทมนตร์คาถาและห้ามใช้ทำมาหากิน

[10] กรุณาสังเกตุความหมายของโองการ: “และ(ชาวยิว)ต่างคล้อยตามสิ่งที่ชัยฏอนนำมาสอนในยุคของสุลัยมาน(อ.) สุลัยมานไม่เคย(แตะต้องวิชาอาคมเหล่านี้)และมิได้เป็นกาฟิร ทว่าชัยฏอนต่างพากันปฏิเสธและสอนมนตร์ดำแก่ผู้คน และ(ชาวยิวบางส่วน)เชื่อฟังในสิ่งที่มลาอิกะฮ์สององค์นามฮารู้ตและมารู้ตได้นำมาสอน (โดยได้สอนให้รู้จักวิธีทำคุณไสยเพื่อให้ทราบวิธีแก้มนตร์ดำ) และมิได้สอนผู้ใดเว้นเสียแต่จะเตือนเสมอว่าเราเป็นเครื่องทดสอบ จงอย่าเป็นผู้ปฏิเสธ (ด้วยการนำไปใช้ในแง่ลบ) ทว่าพวกเขาเรียนรู้เฉพาะสิ่งที่จะทำให้เกิดความร้าวฉานระหว่างสามีภรรยา แต่พวกเขาไม่สามารถจะทำอันตรายผู้ใดได้เว้นแต่พระองค์ทรงอนุญาต พวกเขาเรียนรู้ในสิ่งที่มีอันตรายต่อตนเองโดยไม่อาจจะให้ประโยชน์ใดๆ และแน่นอนว่าผู้ใดก็ตามที่แสวงหาสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ได้รับประโยชน์ใดๆในอาคิเราะฮ์ สิ่งที่พวกเขาแสวงหามานั้นช่างน่ารังเกียจเสียนี่กระไร หากพวกเขาทราบ”

[11] อัลบะเกาะเราะฮ์,102

[12] อิงเนื้อหาจากตัฟซี้รอัลมีซาน,เล่ม 1,หน้า 355

[13] มะการิม ชีอรซี,ตัฟซี้รเนมูเนะฮ์,เล่ม 1,หน้า 377

[14] อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า “และจงอย่าสังหารผู้ที่พระองค์ทรงพิทักษ์โลหิตของเขาเว้นแต่จะมีสิทธิอันชอบธรรม และหากผู้ใดถูกสังหารในฐานะผู้ถูกกดขี่ เราได้กำหนดให้ผู้รับผิดชอบเขามีอำนาจชอบธรรม(ในการกิศอศ) ทว่าอย่าสุรุ่ยสุร่ายในการสังหาร แท้จริงเขาได้รับการช่วยเหลือ”,อิสรออ์,33

 

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • เกี่ยวกับวิลายะฮฺที่มีเหนือมุอฺมิน ซึ่งอยู่ในอำนาจของอะอิมมะฮฺ, ท่านมีทัศนะอย่างไร?
    5925 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/01/23
    คำตอบของท่านอายะตุลลอฮฺ มะฮฺดี ฮาดะวี เตหะรานนี (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครอง) มีรายละเอียดดังนี้ :บรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) มีวิลายะฮฺทั้งวิลายะฮฺตักวีนีและตัชรีอียฺเหนือบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย แต่การปฏิบัติวิลายะฮฺขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ...
  • อะไรคือมาตรฐานความจำกัดของเสรีภาพในการพูดในมุมมองของอิสลาม
    6070 สิทธิและกฎหมาย 2553/12/22
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น โปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • ท่านนบีเคยกล่าวปฏิญาณถึงตำแหน่งศาสนทูตของตน และตำแหน่งผู้นำของอิมามอลีในอะซานหรือไม่?
    7862 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/06/22
    จากการที่คำถามข้างต้นมีคำถามปลีกย่อยอยู่สองประเด็นเราจึงขอแยกตอบเป็นสองส่วนดังนี้1. ท่านนบีกล่าวปฏิญาณถึงตำแหน่งของตนในอะซานหรือไม่?จากการศึกษาฮะดีษต่างๆพบว่าท่านนบีกล่าวยืนยันถึงสถานภาพความเป็นศาสนทูตของตนอย่างแน่นอนทั้งนี้ก็เพราะท่านนบีก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามศาสนกิจเฉกเช่นคนอื่นๆนอกเสียจากว่าจะมีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าท่านนบีได้รับการอนุโลมให้สามารถงดปฏิบัติตามบทบัญญัติใดบ้าง อย่างไรก็ดีไม่มีหลักฐานยืนยันว่าท่านได้รับการอนุโลมไม่ต้องเปล่งคำปฏิญาณดังกล่าวในอะซานในทางตรงกันข้ามมีหลักฐานยืนยันมากมายว่าท่านเปล่งคำปฏิญาณถึงเอกานุภาพของอัลลอฮ์และความเป็นศาสนทูตของตัวท่านเองอย่างชัดเจนและแน่นอน.2. ท่านนบีกล่าวปฏิญาณถึงตำแหน่งผู้นำของอิมามอลีหรือไม่?ต้องยอมรับว่าเราไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ชัดเจนว่าท่านเคยกล่าวปฏิญาณดังกล่าวนอกจากนี้ในสำนวนฮะดีษต่างๆจากบรรดาอิมามที่ระบุเกี่ยวกับบทอะซานก็ไม่ปรากฏคำปฏิญาณที่สาม(เกี่ยวกับวิลายะฮ์ของอิมามอลี)แต่อย่างใดอย่างไรก็ดีเรามีฮะดีษมากมายที่ระบุถึงผลบุญอันมหาศาลของการเอ่ยนามท่านอิมามอลี(อ)ต่อจากนามของท่านนบี(ซ.ล)(โดยทั่วไปไม่เจาะจงเรื่องอะซาน) ด้วยเหตุนี้เองที่อุละมาอ์ชีอะฮ์ล้วนฟัตวาพ้องกันว่าสามารถกล่าวปฏิญาณดังกล่าวด้วยเหนียต(เจตนา)เพื่อหวังผลบุญมิไช่กล่าวโดยเหนียตว่าเป็นส่วนหนึ่งของอะซานทั้งนี้ก็เนื่องจากมีข้อสันนิษฐานว่าประโยคดังกล่าวมิได้เป็นส่วนหนึ่งของอะซานอันถือเป็นศาสนกิจประเภทหนึ่ง. ...
  • ทำไม อิบลิส (ซาตาน) จึงถูกสร้างขึ้นจากไฟ ?
    10701 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น โปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • มีรายงานฮะดีซจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) เกี่ยวกับการถือศีลอดในวันอาชูรอหรือไม่? และศีลอดนี้ถือเป็นศีลอดมุสตะฮับด้วยหรือไม่?
    7003 สิทธิและกฎหมาย 2554/12/20
    ตาราฮะดีซที่เชื่อถือได้ของฝ่ายชีอะฮฺ, ไม่มีรายงานฮะดีซทำนองนี้ปรากฏให้เห็นทีว่าท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) กล่าวว่า, การถือศีลอดในวันอาชูรอเป็นมุสตะฮับ,
  • การบริจาคทรัพย์ฮะรอม กฎเกณฑ์ว่าอย่างไร?
    6255 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    การวะกัฟจะถือว่าถูกต้องก็ต่อเมื่อ, ตนเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ต้องการวะกัฟอย่างถูกต้อง[1]ดังนั้นการวะกัฟทรัพย์สินที่ได้ขู่กรรโชก
  • สรรเสริญ ยกย่อง และขอบคุณ แตกต่างกันอย่างไร?
    8792 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/02/18
    ความหมายของสรรเสริญ ยกย่อง และขอบคุณ ในพจนานุกรมอรับและความหมายเฉพาะทางคือ:1. คำว่า “ฮัมด์” (สรรเสริญ) หมายถึงการสดุดีและสรรเสริญ[1] ส่วนความหมายเฉพาะทางก็คือ การกระทำที่เหมาะสม หรือคุณลักษณะดีเด่นที่กระทำโดยสมัครใจ
  • ความสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณกับตัวอ่อนมนุษย์เป็นไปในรูปแบบใด ทารกเจริญเติบโตก่อนวิญญาณจะสถิตได้อย่างไร?
    8772 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/11
    วิญญาณเป็นสิ่งที่พ้นญาณวิสัย ซึ่งจะสถิตหรือจุติในทารกที่อยู่ในครรภ์ และจะเจริญงอกงามทีละระดับ วิญญาณก็เป็นสิ่งถูกสร้างของพระองค์เฉกเช่นร่างกาย ส่วนการที่พระองค์ทรงตรัสว่า “เราได้เป่าวิญญาณของเราเข้าไปในเขา”นั้น เป็นการสื่อถึงความยิ่งใหญ่และความสูงส่งของวิญญาณมนุษย์ด้วยการเชื่อมคำว่าวิญญาณเข้ากับพระองค์เอง กรณีเช่นนี้ในทางภาษาอรับเรียกกันว่าการเชื่อมแบบ “ลามี” อันสื่อถึงการยกย่องให้เกียรติ ดังกรณีของการเชื่อมโยงวิหารกะอ์บะฮ์เข้ากับพระองค์เองด้วยสำนวนที่ว่า “บัยตี” หรือ บ้านของฉัน การที่ทารกระยะตัวอ่อนยังไม่มีวิญญาณนั้น มิได้ขัดต่อการมีสัญญาณชีวิตก่อนที่วิญญาณจะสถิตแต่อย่างใด เนื่องจากมนุษย์มีปราณสามระยะด้วยกัน ได้แก่ ปราณวิสัยพืช, ปราณวิสัยสัตว์, ปราณวิสัยมนุษย์ ปราณวิสัยพืชถือเป็นปราณระดับล่างสุดของมนุษย์ ซึ่งมีการบริโภคและสามารถเจริญเติบโตได้ แต่ไม่มีความรู้สึก ประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวตามต้องการ เสมือนพืชที่เจริญงอกงามทว่าไร้ความรู้สึก ประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวตามต้องการ และเนื่องจากทารกระยะแรกมีปราณประเภทนี้ก่อนวิญญาณจะสถิต จึงทำให้มีชีวิตและเจริญเติบโตได้ ...
  • ตามทัศนะของท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา อะลี คอเมเนอี การปรากฏตัวของสตรีที่เสริมสวยแล้ว (ถอนคิว,เขียนตาและอื่นๆ) ต่อหน้าสาธารณชน ท่ามกลางนามะฮฺรัมทั้งหลาย ถือว่าอนุญาตหรือไม่? และถ้าเสริมสวยเพียงเล็กน้อย มีกฎเกณฑ์ว่าอย่างไรบ้าง?
    10674 หลักกฎหมาย 2556/01/24
    คำถามข้อ 1, และ 2. ถือว่าไม่อนุญาต ซึ่งกรณีนี้ไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้เสริมสวย คำถามข้อ 3. ถ้าหากสาธารณถือว่านั่นเป็นการเสริมสวย ถือว่าไม่อนุญาต[1] [1] อิสติฟตาอาต จากสำนักฯพณฯท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา คอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงปกป้อง) ...
  • ศาสนามีความเหมาะสมกับความเสรีของเราหรือว่าไม่เข้ากัน
    7613 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    เสรีภาพในการศาสนานั้นสามารถตรวจสอบได้จาก เสรีภาพทางจิตวิญญาณ และเสรีภาพทางสังคมการเมือง ในมุมมองจิตวิญญาณ, แก่นแท้ของมนุษย์คือ นัฟซ์มุญัรร็อด (หมายถึงสภาพที่เป็น อรูป ไม่ต้องอาศัยร่างกายและวัตถุหรืออาการทางกายภาพ) เพราะเป็นอาณาจักรแห่งความเร้นลับมีแนวโน้มของความคิดเห็นที่มีต่อแหล่งกำเนิดของตน และนั่นเป็นเพราะว่าชีวิตของเราขึ้นอยู่กับร่างกาย ซึ่งมีพันธผูกพันอยู่กับกิจการทางโลก มนุษย์ไม่มีทางหลีกเลี่ยงที่ต้องสร้างความสมบูรณ์แบบของตน โดยการปฏิบัติภารกิจบนโลกนี้ซึ่งโลกนั้นเป็นเพียงเรือกสวนไร่นาสำหรับปรโลก แต่บางคนเนื่องจากใส่ใจต่อความเป็นอิสรเสรี เขาจึงตกหลุมพรางการละเล่นและความสวยงามภายนอกของโลก และสิ่งนี้กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่เขาไม่สามารถพัฒนาจิตใจให้สูงส่งได้ และแทนที่จะคิดถึงแก่นแท้ความจริงของภารกิจ หรือของสรรพสิ่งที่มีอยู่ แต่คิดถึงเฉพาะเปลือกนอกเหล่านั้นและคิดว่านั้นเป็นแก่นความจริง เขาจึงหลงลืมแก่นแท้ความจริงโดยสิ้นเชิง มีความเพลิดเพลินต่อโลกหรือหลงโลกนั่นเอง พวกเขาตั้งความหวังกับโลกไว้อย่างสวยหรู และไม่มีข้อจำกัดในการใช้ประโยคทางโลก พวกเขาได้ให้ความอิสระชนิดปราศจากเงื่อนไขแก่ตัวเอง ขณะที่เสรีภาพคือการปลดปล่อยตนเองให้รอดพ้นจากราชประสงค์ของความเป็นสัตว์ โลก และอำนาจฝ่ายต่ำ และนี่คือเสรีภาพที่เป็นความต้องการของศาสนา จากมุมมองของศาสนาไม่ใช่เรื่องแปลกที่บุคคลหนึ่งอาจเป็นมหาจักรพรรดิที่มีอำนาจ แต่เขาขัดเกลาจิตวิญญาณเพื่อความสมบูรณ์แบบ ประหนึ่งผู้ยากจนไร้ซึ่งสมบัติ ขณะที่เขาเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศ

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60152 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57609 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42238 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39417 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38967 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34025 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28035 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28008 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27838 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25826 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...