การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7153
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/03/08
 
รหัสในเว็บไซต์ fa861 รหัสสำเนา 12545
คำถามอย่างย่อ
มนุษย์ธรรมดาทั่วไปสามารถเป็นผู้บริสุทธิ์ได้หรือไม่?
คำถาม
มนุษย์ธรรมดาทั่วไปสามารถเป็นผู้บริสุทธิ์ได้หรือไม่?
คำตอบโดยสังเขป

 คำว่าอิซมัตหมายถึ่งความสะอาดบริสุทธิ์ หรือการดำรงอยู่ในความปอดภัย หรือการเป็นอุปสรรคต่อการหลงลืมกระทำความผิดบาป ความบริสุทธิ์นั้นมีระดับชั้น ซึ่งแน่นอนว่าระดับชั้นหนึ่งนั้นสูงส่งเฉพาะพิเศษสำหรับบรรดาศาสดา (.) และบรรดาอิมามผู้เป็นตัวแทนของพระองค์ ซึ่งตำแหน่งผู้บริสุทธิ์ที่เป็นของท่านเหล่านั้น ซึ่งพิสูจน์ด้วยเหตุที่อัลกุรอานและรายงานได้ยืนยันไว้ ประกอบกับท่านเหล่านั้นได้รับการแต่งตั้งมาเพื่อชี้นำมวลมนุษย์ชาติ ในฐานะของเคาะลิฟะฮฺ ส่วนเกี่ยวกับบุคคลอื่นนั้นแม้ว่าจะพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่งและสามารถรู้จักได้ก็ตาม แต่ก็มิได้อยู่ในระดับหรือแถวเดียวกันกับบรรดามะอฺซูมเหล่านั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าพวกเขาไม่สามารถไปถึงขั้นนั้นได้แน่นอน การพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคนทั่วไปไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยเหตุผลของอัลกุรอาน รายงาน และการแต่งตั้งก็ตาม ทว่าเราสามารถรู้จักได้ว่าสัญลักษณ์ เช่น การกระทำความดี หรือจากเนียต (เจตคติ) และอีกหลายประการ ซึ่งสมารถจำแนกได้

คำตอบเชิงรายละเอียด

มนุษย์คือสรรพสิ่งที่มีอยู่ด้วยเจตคติหรือมีเจตนารมณ์เสรี ซึ่งได้ถูกสร้างขึ้นมาในลักษณะที่ว่าเขาถูกประดับประดาด้วยพลังความศรัทธา และการกระทำความดี และด้วยการหลีกเลี่ยงจากความหลงลืมในคำสั่งใช้ และคำสั่งห้ามของพระเจ้า ซึ่งสามารถไปถึงยังตำแหน่งของ เคาะลิฟะตุลลอฮฺได้ หมายถึงเขาได้พบกับความสมบูรณ์ทั้งหมดที่เหมาะสมสำหรับการเป็นมนุษย์คนหนึ่ง และบริสุทธิ์จากการหลงลืม ข้อบกพร่องทั้งทางโลกและทางธรรม มีอำนาจวิลายะฮฺตักวีนียะฮฺในหัวใจ[1]

การเลือกสรรที่ถูกต้องบนพื้นฐานความรู้และความปรารถนาที่แข็งแรงของเขา ต้องเป็นไปตามสติปัญญาและธรรมชาติของศาสนา และแน่นอน ถ้าหากความรู้และความปรารถนาของเราแข็งแรงมากเท่าใด เขาก็จะปลอดภัยจากความผิดพลาดมากเท่านั้น เนื่องจากสาเหตุของการหลงลืมนั้นเกิดจากการที่เราไม่มีความเชื่อ และไม่สนใจ ถ้าหากปัจจัยของการกำชับความดีและการห้ามปรามความชั่วมีความสำคัญต่อเขาจริง และเป็นคำย้ำเตือนต่อเขาด้วยดีเสมอมาแล้วละก็ เขาจะไม่ลืมและจะไม่ผิดพลาดอย่างเด็ดขาด และนี่ก็คือตำแหน่งที่เรียกว่า อิซมัต หรือความบริสุทธิ์นั้นเอง ซึ่งตำแหน่งนี้นั่นเองที่ได้ส่งเสริมเขาให้ขึ้นไปสู่ ตำแหน่งวิลายะฮฺและเป็นเคาะลีฟะตุลลอฮฺ ในที่สุด บรรดาศาสดาและผู้เป็นตัวแทนของพระเจ้าคือ ผู้รักษาวะฮฺยูทีซื่อสัตย์ของพระองค์ และในฐานะที่เป็นอิมามและเป็นแบบอย่างสำหรับมวลมนุษย์ชาติทั้งหลาย จำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านเหล่านั้นต้องพัฒนาตนไปสู่ตำแหน่งดังกล่าว จนกระทั่งว่า

1) พวกเขาจะได้สามารถนำเอาข่าวสารของพระเจ้าประกาศแก่ประชาชนได้อย่างถูกต้อง และสมบูรณ์ที่สุด

2) เพื่อว่าประชาชนจะได้มั่นใจในคำพูดและความประพฤติของพวกเขา

3) เพื่อว่าประชาชนจะได้นำเอาความประพฤติและจริยธรรมของพวกเขามาเป็นแบบอย่าง และอบรมสั่งสอนตัวเองและบุตรหลานให้เป็นเช่นนั้น เพื่อว่าตนจะได้ก้าวเดินไปสู่ความสมบูรณ์ในการเป็นเคาะลีฟะฮฺของพระเจ้า สามารถโน้นน้าวแนวทางอันเป็นวัตถุประสงค์ของพระเจ้ามาแนบติดตัวไว้ได้ตลอดเวลา และจนกระทั่งตนสามารถพบอัลลอฮฺได้ในที่สุด ด้วยเหตุนี้เอง ด้วยความเมตตาการุณย์ของพระเจ้า พร้อมกับเจตคติเสรีนับตั้งแต่วัยเด็กจนถึงบั้นปลายสุดท้ายของชีวิต เขาไม่เคยกระทำความผิด ไม่เคยละเมิด และไม่เคยละเว้นคำสั่งใช้และคำสั่งห้ามแต่อย่างใด จนกระทั่งว่าประชาชนได้เลื่อมใสและเชื่อถือเขาถึงขั้นสูงสุด ข้อพิสูจน์สำหรับประชาชนก็เสร็จสมบูรณ์ อีกทั้งยังได้แนะนำบุคคลอื่นให้เชื่อปฏิบัติตามเช่นนั้นอีกด้วย

ดังนั้นมนุษย์ทุกคนสามารถก้าวเดินไปบนหนทางของ อิซมัต ได้จนกระทั้งไปถึงยังตำแหน่งวิลายะฮฺและคิลาฟะฮฺ และไม่ว่าเขาจะพยายามมากเท่าใด มีความเคร่งครัดในเรื่องตักวา (ความสำรวมตนจากบาป) มากเท่าใด เขาก็จะได้รับความเมตตาการุณย์จากพระเจ้ามากท่านั้น เนื่องจาก พระองค์ทรงสัญญาว่าจงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺเถิด แล้วพระองค์จะทรงสอนสั่งเจ้า[2] ทำนองเดียวกันอัลกุรอานกล่าวว่าส่วนบรรดาผู้ต่อสูดิ้นรนในหนทางของเรา (ด้วยความบริสุทธิ์ใจ) แน่นอน เราจะชี้แนะหนทางอันถูกต้องของเราแก่พวกเขา แท้จริง อัลลอฮฺทรงอยู่ร่วมกับผู้กระทำความดีทั้งหลาย[3] พระองค์ตรัสอีกว่าบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย หากสูเจ้าสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ พระองค์จะทรงให้สิ่งจำแนกแก่สูเจ้า ระหว่างความจริงและความเท็จ และจะทรงลบล้างบรรดาความผิดของสูเจ้าออกจากสูเจ้าและจะทรงอภัยโทษให้แก่สูเจ้าด้วย อัลลอฮฺ คือผู้ทรงมีบุญคุณอันใหญ่หลวง[4] อีกโองการหนึ่งกล่าวว่าผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี แน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขา ที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้[5]

รายงาน (ฮะดีซ) กุดซีย์กล่าวว่า บุคคลใดจากปวงบ่าวของข้า ถ้าเขามุ่งมานะอยู่กับการอิบาดะฮฺต่อข้า ข้าจะเติมเต็มความสุขในการรำลึกถึงข้าแก่เขา และเขาจะกลายเป็นผู้ที่รักข้า และข้าก็จะรักเขา ข้าจะปลดเปลื้องม่านกันสายตาระหว่างข้ากับเขาออกไป ดังนั้น เมื่อประชาชนคนอื่นตกอยู่ในวิกฤตของการหลงลืม เพิกเฉย เขาจะปลอดภัยจากสภาพนั้น (เขาจะไม่มีวันลืมเลือน) ฉะนั้น เมื่อเขาพูด คำพูดของเขาจะเหมือนคำพูดของบรรดาศาสดาทั้งหลาย พวกเขาทั้งหลายคือคุณาประโยชน์แก่ชาวโลก ข้าได้กำหนดโทษแก่ผู้กระทำความผิด แต่ยามที่ข้านึกถึงพวกเขา ข้าได้ถอดถอนการลงโทษไปจากชาวดิน เนื่องจากพวกเขา[6]

ฉะนั้น อิซมัต หรือความบริสุทธิ์ ที่มีอยู่ในบรรดาศาสดาทั้งหลายนั้น สามารถพิสูจน์ได้ด้วยโองการต่างๆ และรายงานอีกจำนวนมากมาย ประกอบกับเหตุผลทางสติปัญญาก็ยืนยันให้เห็นถึงสิ่งเหล่านั้น[7] แต่ทว่าไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะท่านเหล่านั้น เนื่องจากบุคคลใดก็ตามถ้าหากได้ขวนขวายพยายามที่จะสร้างความสำรวมตน ด้วยความรู้และความปรารถนาของตนสามารถ เขาก็สามารถไปถึงระดับดังกล่าวได้เช่นกัน

ในบรรดาศาสดาและตัวแทนของท่านนอกจากจะมีสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์อยู่ในตัวแล้ว พวกท่านยังได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้าให้เป็นตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน บางท่านได้ดำรงตำแหน่งศาสดา และบางท่านได้ตำแหน่งวิลายะฮฺ แน่นอน การแต่งตั้งของพระเจ้าย่อมเป็นเหตุผลทีชี้ชัดเจนว่า พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากบาป และอยู่ในตำแหน่งสูงส่ง มิเช่นนั้นแล้วการที่อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเลือกพวกเขาให้เป็นผู้ชี้นำสั่งสอนคนอื่น หรือให้การอบรมฝึกฝนคนอื่นให้เป็นคนดี หรือมีหน้าที่ปกป้องศาสนาของพระองค์ ทั้งที่ตัวเองยังมีบาปและความผิดอยู่ จะเข้ากันได้อย่างไรกับตำแหน่งการเป็นตัวแทนของพระเจ้า[8] แต่หนทางในการจำแนกตำแหน่งหรือการเข้าถึงสถานภาพดังกล่าวคือ

1) ผู้บริสุทธิ์หลีกเลี่ยงจากความผิดและพฤติกรรมเลวร้าย อันเป็นสภาพการดำรงชีวิตของคนทั่วไปในสังคม เนื่องจากพวกเขาต้องเผชิญกับการกระทำความผิด เช่น การล่วงถลำเข้าไปในความชั่วร้ายต่างๆ การหลงในตำแหน่งหน้าที่ กิเลส ทรัพย์สิน และอื่นๆ

2) กระทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่บางครั้งอาจเหนือธรรมชาติด้วยซ้ำไป เช่น การล่วงรู้ในความรู้ เจตคติ และความคิดของคนอื่น การเยียวยารักษาอาการเจ็บป่วย การขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดีให้พ้นไปจากตัวคนอื่น ซึ่งภารกิจเหล่านี้คนอื่นไม่อาจกระทำได้

3) ดุอาอ์และการสาปแช่งของพวกเขาได้รับการตอบรับจากพระเจ้า

4) มีอิทธิพลกับจิตใจของคนอื่น ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของคนนั้นให้เป็นคนดีได้

5) มีใจกว้างและอภัยให้สังคมเสมอ และรู้จักสถานภาพของตนเองตลอดเวลาทั้งในแง่ปัจเจกบุคคลและส่วนรวม

6) พวกเขาคือผู้อำนวยความการุณย์ของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้เห็นความจำเริญและความโปรดปรานของพระองค์หลั่งไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการลงโทษก็ถูกถอดถอนไปจากสังคม

แน่นอน เมื่อเราพิจารณาทีท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) และตัวแทนของท่านเราก็ได้ประจักษ์ชัดว่า ท่านเหล่านั้นอยู่ในตำแหน่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องเป็นไปได้ที่บุคคลอื่นจะเข้าถึงยังตำแหน่งดังกล่าว ในระหว่างบรรดาศาสดาด้วยก้นก็ยังมีระดับขั้นของความบริสุทธิ์ ซึ่งบรมศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) ถือว่ามีตำแหน่งสูงสุด รองลงมาเป็นบรรดาอิมาม (.) ผู้เป็นตัวแทนของศาสดา และรองลงมาเป็นบรรดาศาสดาท่านอื่นๆ จนกระทั่งไปถึงประชาชนคนธรรมดา หมายถึงการดำเนินไปสู่ความเป็นผู้บริสุทธิ์ หรือคิลาฟะฮฺของอัลลอฮฺนั้น มีระดับชั้นและขั้นตอนที่ต่างกันออกไปทั้งในแนวตั้งและในแนวนอน ซึ่งทั้งหมดไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน แน่นอนว่าการจำแนกตำแหน่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความรู้ที่พระเจ้าทรงประทานให้มา 

 

แหล่งอ้างอิง :

1.อัลกุรอานกะรีม

2.ญะวาด ออมูลี อับดุลลอฮฺ ตะฮฺรีร ตัมฮีดุล กะวาอิด สำนักพิมพ์ อัซซะฮฺรอ (.) พิมพ์ครั้งที่ 1 ปี 1372 เตหะราน

3. ญะวาด ออมูลี อับดุลลอฮฺ วิลายะฮฺในกุรอาน สำนักพิมพ์อัสรอ พิมพ์ครั้งที่ 1 ปี 1379 กุม

4.ญะวาด ออมูลี อับดุลลอฮฺ ฮิกมะฮฺ อิบาดะฮฺ สำนักพิมพ์อัสรอ พิมพ์ครั้งที่ 2 ปี 1378 กุม

5. ฮุซัยนฺ เตหะรานี มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ เตาฮีด อิลมีวะอัยนีย์ นัชร์ อัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอี พิมพ์ครั้งที่ 2 ปี .. 1417 มัชฮัด

6. อายะตุลลอฮฺ ซ็อดร์ ซัยยิดมุฮัมมัดบากิร คิลาฟะฮฺ อินซาน วะ กะวาฮี พียัมบะรอน แปลโดย ญะมาล มูซาวี ปี 1359 เตหะราน

7. ฆิยอ ชะโมชะกีย์ อบุลฟัฎล์ วิลายะดัรเอรฟาน ดารุลซอดิกีน พิมพ์ครั้งที่ 1 ปี 1378 เตหะราน

8. มุเฏาะฮะรีย์ มุรตะฎอ อินซานกามิล สำนักพิมพ์ ซ็อดร์ พิมพ์ครั้งที่ 8 ปี 1372 กุม

9. มุเฏาะฮะรีย์ มุรตะฎอ วะลาฮอ วะวิลายะฮฺฮอ ตัฟตัรอินติชารอต อิสลามี กุม

10. มะลิกีย์ ตับรีซีย์ ญะวาด ริซาละฮฺ ลิกออุลลอฮฺ ตุรบัต พิมพ์ครั้งที่ 2 ปี 1379 เตหะราน



[1]  เนะมอเยะฮฺฮอเยะ มะฮฺบูบโคดาชุดัน สะอาดัตวะกะมาลอินซาน กุรบ์อิลาฮี และ ...

[2]  อัลกุรอาน บทบะเกาะเราะฮฺ 282, บทตะฆอบุน 11

[3] อัลกุรอาน บทอังกะบูต 69

[4] อัลกุรอาน บทอัลฟาล 29

[5] อัลกุรอาน บทอันนะฮฺลิ 97

[6]  คัดลอกมาจาก ฮุซัยนี เตหะรานี มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ เตาฮีดอิลมีวะอัยนี หน้า 337

[7]  มิซบาฮฺ ยัซดีย์ มุฮัมมัด ตะกีย์ เราะฮฺวะเราะเนะมอชะนอซีย์ หน้า 147,212

[8] อ้างแล้วเล่มเดิม

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • จุดประสงค์ของโองการที่ 85-87 บทอัลฮิจญฺร์ คืออะไร?
    6958 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    อัลลอฮฺ (ซบ.) กล่าวในโองการโดยบ่งชี้ให้เห็นถึง, ความจริงและการมีเป้าหมายในการชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินของพระองค์ ทรงแนะนำแก่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ว่า จงแสดงความรักและความห่วงใยต่อบรรดาผู้ดื้อรั้น, พวกโง่เขลาทั้งหลาย, บรรดาพวกมีอคติ, พวกบิดพลิ้วที่ชอบวางแผนร้าย, พวกตั้งตนเป็นปรปักษ์ด้วยความรุนแรง, และพวกไม่รู้, จงอภัยแก่พวกเขา และจงแสดงความหวังดีต่อพวกเขา ในตอนท้ายของโองการ อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปลอบใจท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และให้กำลังใจท่าน ว่าไม่ต้องเป็นกังวลหรือเป็นห่วงในเรื่องความรุนแรงจากฝ่ายศัตรู ผู้คนจำนวนมากกว่า สิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีกว่า และทรัพย์สินจำนวนมากมายที่อยู่ในครอบครองของพวกเขา, เนื่องจากอัลลอฮฺ ทรงมอบความรัก ความเมตตา และเหตุผลในการเป็นศาสดาแก่ท่าน ซึ่งไม่มีสิ่งใดบนโลกนี้จะดีและเสมอภาคกับสิ่งนั้นโดยเด็ดขาด ...
  • ทัศนะของอัลกุรอาน เกี่ยวกับความประพฤติสงบสันติของชาวมุสลิม กับศาสนิกอื่นเป็นอย่างไร?
    14981 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/09/29
    »การอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสันติของศาสนาต่างๆ« คือแก่นแห่งแนวคิดของอิสลาม อัลกุรอานมากมายหลายโองการ ได้เน้นย้ำเกี่ยวกับประเด็นนี้เอาไว้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งกล่าวโดยตรงสมบูรณ์ หรือกล่าวเชิงเปรียบเปรย ทัศนะของอัลกุรอาน ถือว่าการทะเลาะวิวาท การสงคราม และความขัดแย้งกัน เนื่องจากแตกต่างทางความเชื่อ ซึ่งบางศาสนาได้กระปฏิบัติเช่นนั้น เช่น สงครามไม้กางเกงของชาวคริสต์ เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ อิสลามห้ามการเป็นศัตรู และมีอคติกับผู้ปฏิบัติตามศาสนาอื่น และถือว่าวิธีการดูถูกเหยียดหยามต่างๆ ที่มีต่อศาสนาอื่น มิใช่วิธีการของศาสนา อัลกุรอาน ได้แนะนำและสนับสนุนการอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธี ด้วยแนวทางต่างๆ มากมาย แต่ ณ ที่นี้จะขอกล่าวถึงประเด็นสำคัญที่สุด อาทิเช่น : 1.ความเสรีทางความเชื่อและความคิด 2.ใส่ใจต่อหลักศรัทธาร่วม 3.ปฏิเสธเรื่องความนิยมในเชื้อชาติ 4.แลกเปลี่ยนความคิดด้วยสันติวิธี
  • ผมทำงานอยู่ในร้านค้าแห่งหนึ่ง วันหนึ่งเจ้าของร้านตัดสินใจไล่ผมออกจากงาน แต่ไม่ได้จ่ายค่าจ้างที่เหลือให้ผม อนุญาตหรือไม่ที่จะหยิบฉวยของในร้านหรือทรัพย์สินของเขาทดแทนค่าจ้างที่เขายังไม่ได้จ่ายให้ผม ?
    6154 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/09
    คำถามของคุณได้ถูกส่งไปยังสำนักงานมัรญะอ์ตักลีดหลายท่านแล้วและได้คำตอบมาดังนี้ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมาคอเมเนอี“การกระทำในลักษณะตอบโต้ลูกหนี้จะเป็นที่อนุมัติก็ต่อเมื่อลูกหนี้อ้างโดยมิชอบว่าตนไม่ได้เป็นหนี้หรือขัดขืนไม่ยอมจ่ายหนี้โดยไม่มีทางอื่นที่จะทวงหนี้ได้นอกจากวิธีนี้แต่หากนอกเหนือจากนี้แล้วการที่จะยึดและใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่าไม่เป็นที่อนุมัติ”ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมาซีซตานี“หากเขาเป็นหนี้เราและไม่ยอมจ่ายหนี้ในกรณีที่เขายอมรับว่าเขาเป็นหนี้เราสามารถชดเชยสิ่งนี้ด้วยการริบทรัพย์สินของเขาที่พบเห็น”ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมามะการิมชีรอซี“เราไม่ทราบถึงเรื่องส่วนตัวดังกล่าวแต่โดยทั่วไปแล้วหากผู้ใดลิดรอนสิทธิผู้อื่น
  • คำพูดทั้งหมดของพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นวะฮฺยูหรือไม่?
    7792 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ,ในประเด็นที่กำลังกล่าวถึงแตกต่างกันบางคนได้พิจารณาการตีความของโองการที่ 3,4 ของอัลกุรอานบทนัจมฺ[i]ซึ่งเชื่อว่าคำพูดทั้งหมดของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ตลอดจนการกระทำต่างๆของท่านมาจากวะฮฺยูทั้งสิ้นบางคนเชื่อว่าโองการที่ 4 ของบทอันนัจมฺนั้นกล่าวถึงอัลกุรอานกะรีมและบรรดาโองการต่างๆที่ประทานให้แก่ท่านศาสดา,แม้ว่าซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะเป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลก็ตามซึ่งคำพูดการกระทำและการนิ่งเฉยของท่านมิได้เกิดจากอารมณ์อย่างแน่นอนสิ่งที่เข้าใจได้จากสิ่งที่กล่าวถึงในตรงนี้คือสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าทั้งความประพฤติและแบบอย่างของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มิได้กระทำลงไปโดยปราศจากวะฮียฺอย่างแน่นอนดังเช่นคำพูดของท่านก็เป็นเช่นนี้ด้วยแม้ว่าจะเป็นคำพูดประจำวันคำพูดสามัญทั่วไปตลอดการดำรงชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็ตามสิ่งนั้นก็จะไม่เกิดจากอารมณ์อย่างเด็ดขาดซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะล่วงละเมิดกระทำความผิด[i]
  • ในทัศนะของรายงานและโองการต่างๆ มีการกระทำใดบ้าง ที่ทำลายการงานที่ดี อันเป็นที่ยอมรับ?
    6375 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/01/23
    ทั้งอัลกุรอานและรายงานกล่าวว่า, การมีศรัทธาต่ออัลลอฮฺและการห่างไกลจากการตั้งภาคีและการตกศาสนาคือเงื่อนไขแรกในการตอบรับการกระทำดังนั้นถ้าปราศจากสิ่งนี้จะไม่มีการงานที่ดีอันใดถูกยอมรับณ
  • ได้ยินว่าระหว่างสงครามอิรักกับอิหร่านนั้น ร่างของบางคนที่ได้ชะฮีดแล้ว, แต่ไม่เน่าเปื่อยสลาย, รายงานเหล่านี้เชื่อถือได้หรือยอมรับได้หรือไม่?
    8609 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/05/17
    โดยปกติโครงสร้างของร่างกายมนุษย์, จะเป็นไปในลักษณะที่ว่า เมื่อจิตวิญญาณได้ถูกปลิดไปจากร่างกายแล้ว, ร่างกายของมนุษย์จะเผ่าเปื่อยและค่อยๆ สลายไป, ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก ที่ร่างกายของบางคนหลังจากเสียชีวิตไปแล้วนานหลายปี จะไม่เน่าเปื่อยผุสลายและอยู่ในสภาพปกติ. แต่อีกด้านหนึ่ง อัลลอฮฺ ทรงพลานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่างและทุกการงาน[1] ซึ่งอย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งนี้จะไม่มีความเป็นไปได้ หรือห่างไกลจากภูมิปัญญาแต่อย่างใด. เพราะว่านี่คือกฎเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งได้รับการละเว้นไว้ในบางกรณี, เช่น กรณีที่ร่างของผู้ตายอาจจะไม่เน่าเปื่อย โดยอนุญาตของอัลลอฮฺ ดังเช่น มามมีย์ เป็นต้น จะเห็นว่าร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อย ซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านพ้นไปนานหลายพันปีแล้ว และประสบการณ์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงดังกล่าวแล้วด้วย ดังนั้น ถ้าหากพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ครอบคลุมเหนือประเด็นดังกล่าวนี้ ก็เป็นไปได้ที่ว่าบางคนอาจเสียชีวิตไปแล้วหลายร้อยปี แต่ร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อยผุสลาย ยังคงสมบูรณ์เหมือนเดิม แล้วพระองค์ทรงเป่าดวงวิญญาณให้เขาอีกครั้ง ซึ่งเขาผู้นั้นได้กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง, อัลกุรอานบางโองการ ก็ได้เน้นย้ำถึงเรื่องราวของศาสดาบางท่านเอาไว้[2] เช่นนี้เองสิ่งที่กล่าวไว้ในรายงานว่า ถ้าหากบุคคลใดที่มีนิสัยชอบทำฆุซลฺ ญุมุอะฮฺ, ร่างกายของเขาในหลุมฝังศพจะไม่เน่นเปื่อย
  • เด็กผู้ชายที่มีอายุ 12 ปีสามารถเข้าร่วมในการนมาซญะมาอัตแถวเดียวกับผู้ชายคนอื่นๆได้หรือไม่?
    6388 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/08
    การที่ลูกหลานและเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมมัสยิดและร่วมนมาซญะมาอัตจะทำให้พวกเขาผูกพันกับการนมาซ ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เป็นที่ต้องห้าม ทว่าถือเป็นมุสตะฮับอย่างยิ่ง[1] แต่ประเด็นที่ว่า การที่เด็กที่ยังไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้และยังไม่บรรลุนิติภาวะจะเข้าร่วมในนมาซญะมาอัต และจะทำให้การนมาซของผู้อื่นมีปัญหาหรือไม่นั้น มีสองประเด็นดังต่อไปนี้ ผู้นมาซคนอื่นๆสามารถที่จะเชื่อมต่อกับอิมามญะมาอัตได้โดยวิธีอื่น ในกรณีนี้การนมาซญะมาอัตของผู้อื่นถือว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด[2] การที่ผู้อื่นจะต้องเชื่อมต่อกับอิมามญะมาอัตโดยผ่านผู้ที่ยังไม่บรรลุนิตะภาวะเท่านั้น (เช่นมีเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยื่นอยู่ที่แถวหน้าหลายคน ในกรณีนี้คำวินิจฉัยของอุลามามีดังนี้ “หากในระหว่างแถวที่มีการนมาซญะมาอัตมีเด็กที่สามารถแยกแยะถูกผิดได้ยืนอยู่ หากเรามิได้แน่ใจว่านมาซของเขาไม่ถูกต้อง ก็สามารถยืนแถวต่อจากเขาได้”[3] อนึ่ง กฏดังกล่าวมีไว้สำหรับกรณีที่มีเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยืนอยู่หลายๆคนในแถวเดียวกัน แต่ถ้าหากเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยืนอยู่ในแถวนมาซญะมาอัตหลายคน ทว่าไม่ได้ยืนอยู่ติดๆกัน โดยยืนในลักษณะกั้นกลางผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้วสองคน (ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่านมาซของพวกเขาไม่ถูกต้องก็ตาม) ก็ไม่ทำให้นมาซของผู้อื่นมีปัญหาแต่อย่างใด อ่านเพิ่มเติมได้ที่ “การจัดแถวในการนมาซญะมาอัตและฮุกุมของการเคลื่อนไหวในการนมาซ”, ...
  • ท่านอิมามฮุเซนเคยจำแนกระหว่างอรับและชนชาติอื่น หรือเคยกล่าวตำหนิชนชาติอื่นหรือไม่?
    6008 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/10/11
    ฮะดีษที่อ้างอิงมานั้นเป็นฮะดีษจากอิมามศอดิก(อ.)มิไช่อิมามฮุเซน(อ.) ฮะดีษกล่าวว่า "เราสืบเชื้อสายกุเรชและเหล่าชีอะฮ์ของเราล้วนเป็นอรับแท้ส่วนผองศัตรูของเราล้วนเป็น"อะญัม"(ชนชาติอื่น) ไม่ว่าจะพิจารณาในแง่สายรายงานหรือเนื้อหาจะพบว่าฮะดีษนี้ปราศจากความน่าเชื่อถือใดๆทั้งสิ้นทั้งนี้เพราะสายรายงานของฮะดีษนี้มีนักรายงานฮะดีษที่ไม่น่าเชื่อถือ(เฎาะอี้ฟ)ปรากฏอยู่ส่วนเนื้อหาทั่วไปของฮะดีษนี้นอกจากขัดต่อสติปัญญาแล้วยังขัดต่อโองการกุรอานฮะดีษมากมายที่ถือว่าอีหม่านและตักวาเท่านั้นที่เป็นมาตรวัดคุณค่ามนุษย์หาไช่ชาติพันธุ์ไม่ทั้งนี้ท่านนบีได้ให้หลักเกณฑ์ไว้ว่า "หากฮะดีษที่รายงานจากเราขัดต่อประกาศิตของกุรอานก็จงขว้างใส่กำแพงเสีย(ไม่ต้องสนใจ)"อย่างไรก็ดีเราปฏิเสธที่จะรับฮะดีษดังกล่าวในกรณีที่ตีความตามความหมายทั่วไปเท่านั้นแต่น่าสังเกตุว่าคำว่า"อรับ"และ"อะญัม"หาได้หมายถึงชาติพันธุ์เท่านั้นแต่ในทางภาษาศาสตร์แล้วสองคำนี้สามารถสื่อถึงคุณลักษณะบางอย่างได้สองคำนี้สามารถใช้กับสมาชิกเผ่าพันธุ์เดียวกันก็ได้อาทิเช่นคำว่าอรับสามารถตีความได้ว่าหมายถึงการ"มีชาติตระกูล" และอะญัมอาจหมายถึง"คนไร้ชาติตระกูล" ในกรณีนี้สมมติว่าฮะดีษผ่านการตรวจสอบสายรายงานมาได้ก็ถือว่าไม่มีปัญหาในแง่เนื้อหาทั้งนี้ก็เพราะเรามีฮะดีษมากมายที่ยกย่องชาติพันธุ์ที่ไม่ไช่อรับเนื่องจากมีอีหม่านอะมั้ลที่ดีงามและความอดทน ...
  • สถานะและบุคลิกภาพของซุรอเราะฮฺ ณ บรรดาอิมามเป็นอย่างไร?
    6772 تاريخ بزرگان 2555/05/17
    ซุรอเราะฮฺ เป็นหนึ่งในสหายของอิมามมะอฺซูม (อ.) ที่มีฐานะภาพและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ณ อิมาม เขาถูกจัดว่าเป็นสหายอิจญฺมาอฺ หมายถึงความหน้าเชื่อถือ ความซื่อตรง และการพูดความจริงของเขา เป็นที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รับรู้กันดีในหมู่สหายของอิมาม (อ.) แม้ว่าจะมีรายงานกล่าววิจารณ์เขาอยู่บ้างก็ตาม, แต่เมื่อนำเอารายงานเหล่านั้นมารวมกันแล้ว สามารถสรุปให้เห็นถึงความถูกต้องของเขามากกว่า และจัดว่าเขาเป็นหนึ่งในสหายที่ยิ่งใหญ่ และมีเกียรติคนหนึ่งของอิมาม (อ.) ...
  • อิสลามมีกฏเกณฑ์อย่างไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว?
    22304 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/09
    อิสลามถือว่าอัลลอฮ์ทรงสร้างชายและหญิงให้มีบทบาทเกื้อกูลกันและกันหนึ่งในปัจจัยที่ทั้งสองเพศต้องพึ่งพากันและกันก็คือความต้องการทางเพศทว่าการบำบัดความต้องการดังกล่าวจะต้องอยู่ในเขตคำสอนของอิสลามเท่านั้นจึงจะสามารถรักษาศีลธรรมจรรยาของทั้งสองฝ่ายได้อิสลามถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวก่อนแต่งงานไม่ว่าโดยตรงหรือผ่านสื่อหากเป็นไปด้วยความไคร่หรือเกรงว่าจะเกิดความไคร่ถือว่าไม่อนุมัติแต่สำหรับความสัมพันธ์ในการทำงานวิชาการและการศึกษาถือเป็นที่อนุมัติเฉพาะในกรณีที่ไม่โน้มนำไปสู่ความเสื่อมเสีย ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60332 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57880 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42434 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39697 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39097 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34183 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28221 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28161 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28088 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26039 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...