การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7341
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/10/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1008 รหัสสำเนา 17850
หมวดหมู่ เทววิทยาใหม่
คำถามอย่างย่อ
เพราะเหตุใดฉันต้องเป็นมุสลิมด้วย? โปรดตอบคำถามของฉันด้วยเหตุผลของวิทยปัญญา
คำถาม
เพราะเหตุใดฉันต้องเป็นมุสลิมด้วย? โปรดตอบคำถามของฉันด้วยเหตุผลของวิทยปัญญา
คำตอบโดยสังเขป

แม้ว่าความสัตย์จริงของศาสนาต่างๆ ในปัจจุบันบนโลกนี้ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่บ้างก็ตาม, แต่รูปธรรมโดยสมบูรณ์และความจริงแท้แห่งความเป็นเอกะของพระเจ้า มีเฉพาะในศาสนาอิสลามเท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งท่านสามารถพบสิ่งนี้เฉพาะในคำสอนของอิสลาม, เหตุผลหลักสำหรับการพิสูจน์คำกล่าวอ้างข้างต้น,คือการไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้, ประกอบกับการสังคายนาและภาพความขัดแย้งกันทางสติปัญญาที่ปรากฏในคำสอนของศาสนาอื่น นอกเหนือไปจากอิสลาม ในทางตรงกันข้ามอัลกุรอานที่ไม่เคยถูกสังคายนา ไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลง, การมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ทั้งทางสติปัญญา การอ้างอิงจากตำรา และประวัติศาสตร์, ความสมบูรณ์ที่ครอบคลุมของอิสลาม,การเข้ากันได้เป็นอย่างดีระหว่างคำสอนอิสลาม กับสติปัญญาสมบูรณ์ของมนุษย์

อีกด้านหนึ่งศาสนาแห่งความจริงอันเป็นสัจจะในแต่ละยุคสมัยนั้น มีเพียงศาสนาเดียวเท่านั้น ส่วนศาสนาหรือสำนักคิดอื่นที่เหลือโดยพื้นฐานแล้วถือว่าโมฆะ ไม่มีรากที่มาที่ถูกต้อง หรือถูกยกเลิกไปแล้ว ซึ่งทุกวันนี้ศาสนาที่เที่ยงธรรมถูกต้องตรงกับความเป็นจริงมีเฉพาะ อิสลาม เท่านั้น และอิสลามตามอุดมการณ์ของศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) อันเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริงก็ปรากฏอยู่ในคำสอนของ อะฮฺลุลบัยตฺ (ชีอะฮฺ) เท่านั้น อีกนัยหนึ่งเฉพาะคำสอนของชีอะฮฺเท่านั้นที่สามารถเผยรูปลักษณ์อิสลามมุฮัมมะดีได้อย่างแท้จริง

คำตอบเชิงรายละเอียด

สำหรับความชัดเจนในคำตอบของประเด็นดังกล่าวจำเป็นต้องพิจารณาประเด็นดังต่อไปนี้ เช่น : เหตุผลที่ไม่สมบูรณ์ของศาสนาอื่นที่มีอยู่บนโลกนี้, ประกอบกับเหตุผลที่ยืนยันถึงความดีกว่าของอิสลามและนิกายชีอะฮฺ :

) เหตุผลที่ไม่สมบูรณ์ของศาสนาอื่น (นอกจากอิสลาม)

ก่อนที่จะกล่าวถึงเหตุผลไม่สมบูรณ์ของศาสนาอื่นที่มีอยู่บนโลกนี้, มี 2 ประเด็นสำคัญที่ต้องกล่าวถึงก่อนเป็นอันดับแรก :

ประเด็นแรก : วัตถุประสงค์ของเรามิได้หมายถึงว่าทุกสิ่งอันเป็นคำสอนที่มีอยู่ในศาสนาทั้งหลาย ในทุกวันนี้เป็นโมฆะทั้งหมด ไม่อาจพบคำพูดหรือคำสอนใดในศาสนาเหล่านั้นที่เป็นความจริงสักประการเดียว ทว่าวัตถุประสงค์ของเราคือ คำสอนของศาสนาอื่นทุกวันนี้มีประเด็นต่างๆที่ไม่อาจยอมรับได้ ดังนั้น ศาสนาเหล่านั้นจึงไม่อาจเป็นผู้อธิบายรูปธรรมที่สมบูรณ์ได้

ประเด็นที่สอง : สิ่งที่จะร่วมกันพิจารณาตรงนี้ในความจำกัดจะขอหยิบยกเหตุผลไม่สมบูรณ์ของ 2 ศาสนาสำคัญทุกวันนี้ กล่าวคือศาสนาคริสต์ และศาสนายะฮูดีย์ ดังนั้น คุณค่าและความหน้าเชี่อถือของศาสนาอื่นในแง่ของการยอมรับที่ด้อยกว่าสองศาสนานี้ ก็จะรับรู้ได้เองโดยปริยาย

แต่เหตุผลที่พิสูจน์ให้เห็นว่าศาสนาคริสต์บนโลกในทุกวันนี้ ไม่อาจอธิบายแก่นแท้ความจริงอันสมบูรณ์ได้คือ :

1.คัมภีร์ไบเบิ้ล (อินญีล) ไม่อาจเชื่อถือได้ อีกทั้งไม่มีสายรายงานที่แน่นอนและเชื่อถือได้

ศาสดาอีซา (.) เป็นศาสดาแห่งวงศ์วานอิสราเอล ภาษาของท่านคือ อิบรู ท่านศาสดาได้ประกาศการเป็นศาสดาและเชิญชวนผู้คนไปสู่คำสอนของท่าน  บัยตุลมุก็อดดิสหรือเยลูซาเล็มในปัจจุบัน ซึ่งประชาชนทั้งหมดในที่นั้นที่เป็น อิบรู ก็มิได้เชื่อศรัทธาท่านทั้งหมด ยกเว้นกลุ่มชนเพียงน้อยนิดเท่านั้นเองแต่ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน, แต่มีประชาชนเพียงไม่กี่คนจากบัยตุลมุก็อดดิสที่รู้ภาษา กรีก ได้เดินทางไปสู่ประเทศอื่น เพื่อเชิญชวนประชาชนให้เชื่อฟังปฏิบัติตามศาสนาของอีซา (.) และยังได้เขียนคัมภีร์เป็นภาษายูนานอีกด้วย ซึ่งสาระในคัมภีร์ที่ได้เขียนเพื่อคนกรีกและอิตาลี กล่าวว่า : อีซาได้กล่าวเช่นนี้และเช่นนั้นว่า. สำหรับบุคคลที่เคยเห็นศาสดาอีซา และเห็นการกระทำหรือได้ยินคำพูดของท่าน และรู้ภาษาของท่านมีเฉพาะในปาเลสไตน์เท่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่ยอมรับท่านอีซา (.) ว่าเป็นศาสดาแต่อย่างใด ส่วนเรื่องเล่าต่างๆ ที่เขียนเป็นภาษากรีกก็ถือว่า เป็นการประพันธ์ขึ้นมาซึ่งประชาชนที่ยอมรับคำพูดเหล่านั้นก็เป็นประชาชนที่อยู่ไกล มิใช่ประชาชนที่อยู่ในบัยตุลมุก็อดดิสแต่อย่างใด และพวกเขาก็ไม่เคยเห็นศาสดาอีซาด้วยและไม่เข้าใจภาษาของท่าน ถ้าหากว่ามีเรื่องราวถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ล, ส่วนใหญ่เป็นเรื่องมุสาทั้งสิ้น เนื่องจากผู้เขียนคัมภีร์ขึ้นมาไม่มีผู้ใดท้วงติง หรือตรวจสอบ และผู้ฟังก็มิได้นำไปสู่การปฏิเสธและมุสาแต่อย่างใด เช่น ในคัมภีร์ไบเบิ้ล ฉบับมะทา กล่าวว่าเมื่อศาสดาอีซาได้ประสูติแล้ว ได้มีพวกบูชาไฟสองสามคนจากตะวันออกเข้ามาหาท่าน และถามท่านว่ากษัตริย์แห่งยะฮูดีที่เพิ่งประสูติอยู่  ที่ใด? เนื่องจากเราได้เห็นหมู่ดวงดาวของเขาปรากฏทางทิศตะวันออก แต่ดวงดาวเหล่านั้นมิได้แสดงสัญลักษณ์อันใด, ทันใดนั้นพวกเราได้เห็นดวงดาวเหล่านั้นขับเคลื่อนอีกในท้องฟ้า จนกระทั่งว่าได้มาหยุดนิ่งเหนือบ้านที่ อีซา (.) ได้ประสูติ พวกเราจึงรู้ว่าเป็นบ้านหลังนั้นเอง, แน่นอนเรื่องราวเหล่านี้ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด เนื่องจากเรื่องเดียวกันแต่ไม่ได้ถูกเขียนเป็นภาษาอิบรูสำหรับคนในบัยตุลมุก็อดดิสแต่อย่างใด, ทว่าสิ่งนั้นได้ถูกเขียนเพื่อคนแปลกหน้า จึงนับว่าเป็นความแปลกอย่างยิ่ง ซึ่งเรามั่นใจว่าไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดเชื่อเช่นนั้นเหมือนกันว่า การถือกำเนิดของแต่ละคนต้องมีดวงดาวปรากฏ และขับเคลื่อนไปเหนือศีรษะของเขา, ทั้งพวกบูชาไฟก็ไม่เชื่อเรื่องนี้ และคนอื่นก็เช่นเดียวกัน. กล่าวกันว่าชาวคริสต์มีความเห็นขัดแย้งกันเรื่องการสังหารศาสดาอีซา (.) เนื่องจากคัมภีร์ไบเบิ้ลบางฉบับบันทึกว่า ศาสดาอีซามิได้ถูกสังหารแต่อย่างใด เนื่องจากถ้าหากมีคนหนึ่งถูกสังหารในเมืองแล้วละก็ ไม่อาจปกปิดสายตาของประชาชนส่วนใหญ่ที่ให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าวได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการแขวนประจารเช่นนั้น แต่เนื่องจากผู้เขียนไบเบิ้ลได้เขียนด้วยภาษาอื่น และเขียนเพื่อคนแปลกหน้าความแปลกเช่นนี้จึงไม่ถูกพบในบัยตุลมุก็อดดิสแต่อย่างใด เพื่อจะได้พิสูจน์ความจริงให้ปรากฏไปว่า ศาสดาอีซา (.) ถูกสังหารจริงหรือไม่?

ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิ้ลได้เขียนด้วยความอิสระ ซึ่งทุกสิ่งที่ตนเห็นว่าสมควรก็ได้เขียนบันทึกไว้ในคัมภีร์นั้น โดยไม่มีผู้ใดท้วงติง ซึ่ง 300 ปี หลังจากศาสดาอีซา (.) ได้ประกาศศาสนา เพิ่งจะมีการจัดประชุมและบรรดานักปราชญ์ นัศรอนีได้ปรึกษาหารือกันว่า จะจัดการกับความขัดแย้งที่ปรากฏในคัมภีร์เหล่านั้นอย่างไร พวกเขาได้แสดงทัศนะโดยพร้อมเพียงกันว่า ให้เลือกคัมภีร์ไบเบิ้ลเพียงแค่ 4 เล่ม และปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาสาระในคัมภีร์เหล่านั้น ส่วนเล่มอื่นๆ ให้ถือเป็นโมฆะไป ซึ่งเรื่องการไม่ถูกสังหารของศาสดาอีซาที่ปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ ถือเป็นเรื่องมุสาและไม่เป็นทางการ[1]

2.เหตุผลที่สองที่บ่งบอกความไม่สมบูรณ์ของศาสนาคริสต์, มีประเด็นมากมายที่บกพร่องและมีการสังคายนาหลายครั้งในคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับปัจจุบัน ดังนั้น ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหนังสือ เราะฮฺสะอาดะฮฺ เขียนโดยอัลลามะฮฺชะอฺรอนียฺ[2] และหนังสืออิซฮารุลฮัก.เขียนโดยฟาฎิล ฮินดี ฮับบะตุลลอฮฺ บิน เคาะลีลุลลอฮฺ อัรเราะฮฺมาน, กุรอานและคัมภีร์แห่งฟากฟ้าฉบับอื่น, เขียนโดยชะฮีด ฮาชิมี เนะฌอด.

3.เหตุผลที่สาม,การไม่เข้ากันของความเชื่องบางประการของคริสต์กับเหตุผลทางตรรก และสติปัญญา เช่น พวกเขาเชื่อว่า : พระเจ้าที่เป็นพระบุตร,มีรูปร่างเหมือนมนุษย์, พระเจ้าองค์นี้จะเก็บความผิดของปวงบ่าวเอาไว้,ด้วยการถูกตรึงบนไม้กางเขาเพื่อถ่ายบาปให้แก่ปวงบ่าว ขณะในคัมภีร์ไบเบิ้ล ฉบับวารสารของยอห์น...กล่าวว่า

เนื่องจากพระเจ้า,ทรงรักโลกนี้เป็นอย่างยิ่งพระองค์จึงทรงมอบพลีบุตรชายคนเดียวของพระองค์ให้ เพื่อว่าใครก็ตามที่เชื่อถือพระองค์จะได้ไม่พบกับความวิบัติ,ทว่าพวกเขาจะได้มีชีวิตอมตะนิรันดร์, เนื่องจากพระองค์มิได้ทรงส่งบุตรชายของพระองค์มายังโลกนี้เพื่อตัดสินมนุษย์, ทว่าส่งมาช่วยเหลือชาวโลกให้รอดพ้นความวิบัติ[3]

เกี่ยวกับศาสนาของยะฮูดีมี 3 ปัญหาสำคัญดังนี้ ..

1.ฉบับอิบรู ซึ่งอยู่  นักวิชาการชาวยิวและโปรเตสแตนต์ที่เชื่อถือได้

2.ฉบับซามาเรียของ ซึ่ง  ซามิเรียล (เป็นอีกเผ่าหนึ่งของอิสราเอล) ที่เชื่อถือได้

3.ฉบับภาษากรีกของนักวิชาการคริสเตียน ที่ไม่โปรเตสแตนต์ที่เชื่อถือได้

ฉบับซามาเรียนั้นครอบคลุมคัมภีร์อยู่เพียง 5 ฉบับของศาสดามูซา (.) คัมภีร์ของยูชะอ์ และดาวะรอน ส่วนคัมภีร์ฉบับอื่นของพระสัญญาฉบับเก่า ไม่ได้รับความเชื่อถือแต่อย่างใด. ในคัมภีร์ฉบับแรกกล่าวถึงช่วงเวลาที่ห่างกันระหว่างการสร้างอาดัม กับการเกิดน้ำท่วมโลกสมัยนูฮฺ ประมาณ 1656 ปี ส่วนฉบับที่สองกล่าวว่า 1307 ปี และฉบับที่สามกล่าวว่ 1362 ปี. ดังนั้น จะเห็นว่าคัมภีร์ทั้งสามฉบับไม่อาจถูกต้องได้, ทว่าหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ ฉบับที่ถูกต้องและเชื่อถือได้แต่ก็ไม่ทราบว่าฉบับใด[4]

2. ในคัมภีร์เตารอตมีบางประเด็นที่สติปัญญาไม่อาจรับได้ เช่น ในคัมภีร์เตารอตกล่าวว่า พระเจ้าทรงมีมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับมนุษย์และทรงท่องเดินไป, ทรงส่งเสียงร้อง, ทรงมุสา, และทรงเจ้าเล่ห์เพทุบายอีกด้วย, เนื่องจากพระเจ้าทรงกล่าวแก่อาดัมว่า ถ้าเจ้าบริโภคผลไม้แห่งความดีและเลวเจ้าจะต้องตาย, แต่ทั้งอาดัมและฮะวาได้บริโภคผลไม้จากต้นไม้ดังกล่าว ไม่เพียงแต่ทั้งสองจะไม่ตายเท่านั้นทว่าเขาทั้งสองยังได้รู้จักความดีและความเลวว่าเป็นอย่างไรอีกด้วย.[5]

หรือเรื่องราวการเล่นมวลปล้ำของพระเจ้ากับศาสดายะอฺกูบ ซึ่งถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์เตารอตเช่นกัน[6]

. เหตุผลที่บ่งบอกว่าอิสลามคือศาสนาแห่งความจริงและดีกว่าคือ

1.ความเป็นอมตะของปาฏิหาริย์ในศาสนาอิสลาม, เนื่องจากปาฏิหาริย์หลักของศาสนานี้คืออัลกุรอานซึ่งถือว่าเป็นพระคัมภีร์แห่งวิชาการและตรรกะ แตกต่างไปจากปาฏิหาริย์ของศาสดาท่านอื่น ซึ่งเป็นภารกิจที่เกิดจากการสัมผัสทางความรู้สึกเสียเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้เองอัลกุรอานจึงมีชีวิตเป็นอมตะ นิรันดร์ และพึ่งพาตัวเองไม่ได้ขึ้นอยู่กับชีวิตอันสั้นเพียงเล็กน้อยของท่านศาสดา (ซ็อล ) เท่านั้น ทว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่มีความเป็นอมตะนิรันดร์เสมอ

นอกจากนั้นแล้วอัลกุรอานยังได้ท้าทายมนุษย์ทั้งโลกให้ต่อสู้กับอัลกุรอาน ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน หรือประกาศความเป็นนิรันดร์ของตัวเองเฉกเช่นอัลกุรอาน โองการกล่าวว่า :และถ้าหากสูเจ้ายังแคลงใจในสิ่งที่เราได้ประทานมาแก่บ่าวของเรา สูเจ้าก็จงนำมาสักบทหนึ่งเยี่ยงนั้น และจงเรียกบรรดาผู้ช่วยเหลือของสูเจ้ามา 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ความต่างกิจกรรมของวิญญาณขณะนอนหลับ และสลบคืออะไร?
    16383 ปรัชญาอิสลาม 2555/09/29
    รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณขณะตื่นนอน กับการปฏิสัมพันธ์ขณะนอนหลับนั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ตามคำสอนของอิสลามจึงได้เรียกการนอนหลับว่า เป็นพี่น้องของความตาย วิทยาศาสตร์แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายขณะนอนหลับ แต่สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายขณะนอนหลับได้ บนพื้นฐานของการค้นคว้านั้นและการทำสอบพบว่ามนุษย์มีการนอนหลับในสองระดับ ด้วยนามว่า REM และ Non REM ซึ่งทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วการความฝันที่มักเกิดในระดับของ Non REM เกิดจากการหลับลึกซึ่งจะไม่อยู่ในความทรงจำ แต่เฉพาะการนอนหลับในระ REM เท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ ส่วนการสลบหมดสติเกิดจากการเบี่ยงเบนของวิญญาณ และเป็นการหลับที่ลุ่มลึกมาก ทำให้เขาไม่มีความทรงจำอันใดหลงเหลืออยู่ ...
  • ตักวาหมายถึงอะไร?
    17805 จริยธรรมทฤษฎี 2555/01/23
    ตักว่าคือพลังหนึ่งที่หยุดยั้งจิตด้านในซึ่งการมีอยู่ของมนุษย์คือสาเหตุของการมีพลังนั้นและพลังดังกล่าวจะพิทักษ์ปกป้องมนุษย์ให้รอดพ้นจากการกระทำความผิดฝ่าฝืนต่างๆความสมบูรณ์ของตักวานอกจากจะช่วยทำให้มนุษย์ห่างไกลจากความผิดบาปและการก่ออาชญากรรมต่างๆ
  • เหตุใดจึงเรียกอิมามฮุเซนว่าษารุลลอฮ์?
    7333 จริยธรรมทฤษฎี 2554/12/11
    ษารุลลอฮ์ให้ความหมายว่าการชำระหนี้เลือดแต่ก็สามารถแปลว่าเลือดได้เช่นกันตามความหมายแรกอิมามฮุเซนได้รับฉายานามนี้เนื่องจากอัลลอฮ์จะเป็นผู้ทวงหนี้เลือดให้ท่านแต่หากษารุลลอฮ์แปลว่า"โลหิตพระเจ้า" การที่อิมามได้รับฉายานามดังกล่าวเป็นไปตามข้อชี้แจงต่อไปนี้:1. "ษ้าร"เชื่อมกับ"อัลลอฮ์"เพื่อให้ทราบว่าเป็นโลหิตอันสูงส่งเนื่องจากเป็นการเชื่อมคำในเชิงยกย่อง2.มนุษย์ที่บรรลุสู่ความสมบูรณ์ในระดับใกล้ชิดทางภาคบังคับต่างก็เป็นหัตถาพระเจ้าชิวหาพระเจ้าและโลหิตพระเจ้าหมายถึงถ้าหากพระองค์ทรงประสงค์จะทำสิ่งใดมนุษย์ผู้นี้จะเป็นดั่งพระหัตถ์หากทรงประสงค์จะตรัสเขาจะเป็นดั่งชิวหาและหากพระองค์ทรงประสงค์จะพิทักษ์ศาสนาของพระองค์ด้วยโลหิตเขาจะเป็นดั่งโลหิตพระองค์อิมามฮุเซน(อ.)เป็นดั่งโลหิตพระองค์เนื่องจากโลหิตของท่านช่วยชุบชีวิตแก่ศาสนาของพระองค์เราเชื่อว่าความหมายแรกเป็นความหมายที่เหมาะสมกว่าแต่ความหมายที่สองก็เป็นคำธิบายที่น่าสนใจเช่นกันโดยเฉพาะหากเป็นผู้ที่อยู่ในแวดวงจาริกทางจิตอาจทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้งกว่า ...
  • อัลลอฮฺคือสาเหตุที่แท้จริงของการอธรรม และผู้อธรรมหรือ?
    11254 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/09/29
    สำหรับคำตอบคำถามเหล่านี้ จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญเหล่านี้ก่อน 1.รากที่มาของการอธรรมของผู้อธรรมทั้งหลาย สามารถสรุปได้ใน 4 ประเด็นดังนี้คือ 1.ความโง่เขลา 2. การเลือกสรร 3. ความประพฤติอันเลวทราม 4. ความอ่อนแอไร้สามารถ, แต่อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไม่ความอธรรมใดๆ ในพระองค์ ด้วยเหตุนี้ สำหรับพระองค์แล้วคือ ผู้ยุติธรรม ซึ่งเป็นหน่วยเนื้อเดียวกันกับความยุติธรรม และเนื่องจากพระองค์ทรงรอบรู้ และทรงยุติธรรม ภารกิจของพระองค์จึงวางอยู่บนความยุติธรรม และวิทยปัญญาเท่านั้น 2.อัลลอฮฺ ทรงสร้างมนุษย์มาในลักษณะเดียวกัน และได้ประทานแนวทางแห่งการชี้นำทางแก่พวกเขา และทั้งหมดมีสิทธิที่จะเลือกสรรด้วยตนเอง ซึ่งมีบางกลุ่มด้วยเหตุผลนานัปการ หรือมีปัจจัยหลายอย่างเป็นแรงจูงใจให้พวกเขาเลือกหนทางหลงผิด และการอธรรม บางกลุ่มพยายามต่อสู้ชนิดขุดรากถอนโคนการอธรรม ที่แฝงเร้นอยู่ในใจของตนเอง พวกเขามุ่งไปสู่หนทางแห่งการชี้นำ และความยุติธรรม พยามประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ตามรากที่มาของคำถามเหล่านี้ ล้วนมาจากความคิดที่ว่ามนุษย์ได้รับการบีบบังคับให้เป็นเช่นนั้น หรือที่เรียกว่าพรหมลิขิต ทั้งที่เหตุผลของพรหมลิขิตมิเป็นที่ยอมรับแต่อย่างใด เราเชื่อตามคำสอนของศาสนา ...
  • ท่านอับบาสอ่านกลอนปลุกใจว่าอย่างไรขณะกำลังนำน้ำมา
    8982 ชีวประวัตินักปราชญ์ 2554/12/25
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • ข้อแตกต่างระหว่างมะอ์นะวียัตในอิสลามและคริสตศาสนา
    6859 เทววิทยาใหม่ 2554/10/24
    คุณค่าของมะอ์นะวียัตของแต่ละศาสนาขึ้นอยู่กับคุณค่าของศาสนานั้นๆคำสอนของคริสตศาสนาบางประการขัดต่อสติปัญญาโดยที่ชาวคริสเตียนเองก็ยอมรับเช่นนั้นมะอ์นะวียัตที่ได้จากคำสอนเช่นนี้ก็ย่อมมีข้อผิดพลาดเป็นธรรมดาและนี่คือข้อแตกต่างหลักระหว่างมะอ์นะวียัตของอิสลามและคริสตศาสนากล่าวคือโดยพื้นฐานแล้วมะอ์นะวียัตของคริสต์ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้เมื่อพิจารณาถึงแหล่งเนื้อหาที่มีบางจุดขัดต่อสติปัญญาทำให้ไม่สามารถจะนำพาสู่ความผาสุกได้อย่างไรก็ดีสภาพมะอ์นะวียัตของตะวันตกในปัจจุบันย่ำแย่ไปกว่ามะอ์นะวียัตดั้งเดิมของคริสตศาสนาเสียอีกในขณะที่มะอ์นะวียัตของอิสลามนั้นได้รับอิทธิพลจากคำสอนจากวิวรณ์
  • ผู้มีญุนุบที่ได้ทำตะยัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ สามารถเข้ามัสยิดได้หรือไม่?
    6954 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/08
    ผู้ที่มีญุนุบที่อยู่ในเงื่อนไขที่สามารถทำตะญัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่นั้นหลังจากที่ได้ทำการตะยัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่แล้วก็สามารถเข้าไปในมัสยิดเพื่อร่วมทำนมาซญะมาอัตหรือฟังบรรยายธรรมได้ท่านอิมามโคมัยนีได้ให้คำตอบเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า: “ผลพวงทางด้านชาริอะฮ์ที่เกิดขึ้นจากการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่จะมีในกรณีการทำการตะยัมมุมทดแทนเช่นกันนอกจากกรณีการตะยัมมุมทดแทนด้วยเหตุผลที่จะหมดเวลานมาซมัรญะอ์ท่านอื่นๆก็มีทัศนะนี้เช่นเดียวกัน
  • ความสำคัญ และปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คืออะไร?
    7696 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/20
    สำหรับการติดตามผลอย่างมีนัยของการให้ความสำคัญและปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้:1. ...
  • กาสาบานต่อท่านศาสดาและอิมามในเดือนรอมฎอนคือ สาเหตุทำให้ศีลอดเสียหรือ?
    7299 สิทธิและกฎหมาย 2555/07/16
    การสาบาน มิใช่หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ศีลอดเสีย แต่ถ้าได้สาบานโดยพาดพิงสิ่งโกหกไปยังอัลลอฮฺ (ซบ.) ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และตัวแทนของท่านโดยตั้งใจ ซึ่งสาเหตุนี้เองที่กล่าวว่า เป็นการโกหกที่พาดพิงไปยังอัลลอฮฺ ศาสดา (ซ็อลฯ) และตัวแทนของท่าน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ศีลอดเสีย ส่วนคำสาบานต่างๆ ที่อยู่ในบทดุอาอฺไม่ถือว่าโกหก ทว่าเป็นการเน้นย้ำและอ้อนวอนให้ตอบรับดุอาอฺที่ขอต่ออัลลอฮฺ ซึ่งไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้ศีลอดเสียแต่อย่างใด ...
  • ปรัชญาของการมีทาสในอิสลามคืออะไร? อิสลามมีวิธีการจัดการกับสิ่งเหล่าอย่างไร?
    12116 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    ถูกต้องบทบัญญัติเกี่ยวกับ การแต่งงานกับทาส, การเป็นมะฮฺรัมกับทาส, สัญญาซื้อขาย (ข้อตกลงที่จะปล่อยทาสเป็นไท) และ ...ได้ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน, การมีทาสได้รับการยืนยันว่ามีจริงในสมัยของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) และต้นยุคอิสลาม แต่จำเป็นต้องกล่าวว่าอิสลามมีโปรแกรมที่ละเอียดอ่อน และมีกำหนดเวลาในการปลดปล่อยทาสให้เป็นไท ซึ่งบั้นปลายสุดท้ายของทั้งหมดเหล่านั้นคือ การได้รับอิสรภาพเป็นไททั้งสิ้น ดังนั้นการเผชิญหน้าของอิสลามกับปัญหาเหล่านี้ จำเป็นต้องกล่าวถึงประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้: 1-อิสลามมิเคยเริ่มต้นปัญหาเรื่องทาส 2-อิสลามถือว่าปัญหาชะตากรรม และความเจ็บปวดใจของทาสในอดีตที่ผ่านมาคือ ปัญหาความล้าหลังอันยิ่งใหญ่ของสังคม 3-อิสลามได้วางโครงการที่ละเอียดอ่อน เพื่อปลดปล่อยทาสให้เป็นไท, เนื่องจากครึ่งหนึ่งของพลเมืองในสมัยก่อนเป็นทาสทั้งสิ้น, พวกเขาไม่มีอิสรเสรีในการประกอบอาชีพการงาน, ไม่มีปัจจัยสำหรับการดำเนินชีวิตต่อไป.ถ้าหากอิสลามได้มีคำสั่งต่อสาธารณชนว่าให้ทั้งหมดปล่อยทาสให้เป็นไท, ซึ่งเป็นไปได้ว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาจะต้องสูญเสียชีวิต หรือไม่ชนส่วนใหญ่ก็จะต้องว่างงานไร้อาชีพ หิวโหย ถูกกีดกัน และพวกเขาต้องได้รับแรงกดดันจนกระทั่งเข้าทำร้ายและโจมตีในทุกที่ การประจัญบาน การนองเลือด และการทำลายกฎระเบียบของสังคมก็จะทวีความรุนแรงขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง อิสลามได้วางแผนการไว้อย่างละเอียด เพื่อดึงดูดสังคมให้ทาสเหล่านี้ได้รับอิสรภาพ และเป็นไทไปที่ละน้อย ซึ่งแผนการดังกล่าวมีองค์ประกอบหลายประการด้วยกัน ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60136 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57576 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42222 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39377 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38954 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34008 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28026 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27971 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27808 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25805 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...