การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6818
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/10/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1345 รหัสสำเนา 17844
คำถามอย่างย่อ
การที่กล่าวว่า อัลลอฮฺทรงลืมปวงบ่าวบางคนของพระองค์หมายความว่าอย่างไร?
คำถาม
อัลกุรอาน บางโองการกล่าวว่า อัลลอฮฺ ทรงลืมชนบางกลุ่มทั้งในโลกนี้และปรโลก, ถามว่าอัลลอฮฺทรงลืมด้วยหรือ?
คำตอบโดยสังเขป

อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสไว้ในอัลกุรอาน, ถึง 4 ครั้งด้วยกันเกี่ยวกับการลืมของปวงบ่าว โดยสัมพันธ์ไปยังพระองค์ ดังเช่น โองการหนึ่งกล่าวว่า : วันนี้เราได้ลืมพวกเขา ดังที่พวกเขาได้ลืมการพบกันในวันนี้” โองการข้างต้นและโองการที่คล้ายคลึงกันนี้สนับสนุนประเด็นดังกล่าวได้เป็นอย่างดีว่า ในปรโลก (หรือแม้แต่โลกนี้) จะมีชนกลุ่มหนึ่งถูกอัลลอฮฺ ลืมเลือนพวกเขา, แต่จุดประสงค์ของการหลงลืมนั้นหมายถึงอะไร?

การพิสูจน์ในเชิงสติปัญญา และเทววิทยาที่มีอยู่ในปัจจุบันในตำราของอิสลามกล่าวว่า การหลงลืมหมายถึงการไม่ครอบคลุมทั่วถึงเหนือสภาพของสิ่งถูกสร้าง แน่นอน สิ่งนี้อยู่นอกเหนืออาตมันสมบูรณ์ของอัลลอฮฺ ดังเช่นพระดำรัสของพระองค์ตรัสว่า “องค์พระผู้อภิบาลมิใช่ผู้หลงลืมการงาน”

จากคำพูดของบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) ได้ประจักษ์ชัดเจนว่า จุดประสงค์ของการหลงลืมของอัลลอฮฺ (ซบ.) มิได้หมายถึงการลืมเลือน การไม่มีภูมิความรู้ และการไม่รู้แต่อย่างใด, เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงรอบรู้ทุกสิ่งแม้แต่ความรู้ที่ซ่อนเร้นพระองค์ก็ทรงล่วงรู้ในสิ่งนั้น. ทว่าจุดประสงค์หมายถึงการตัดความเมตตาของพระเจ้าจากสิ่งนั้น,ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า : การลืมเลือนของอัลลอฮฺหมายถึง ทรงกีดกันพวกเขาให้พ้นไปจากความดีทั้งหลาย.ดังนั้น ในพระดำรัสที่กล่าวว่า อัลลอฮฺ ทรงลืมเลือน หมายถึง การปล่อยให้บ่าวระหนไปตามลำพังหรือตามสภาพของตนเอง โดยพระองค์ได้ถอดถอนหัตถ์แห่งความเมตตาไปจากเขา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วผลของการลืมเลือนของปวงบ่าวนั้น เกิดจากตนได้หมกมุ่นอยู่กับภารกิจทางโลกมากเกินความจำเป็น, อีกนัยหนึ่งการหลงลืมของพระเจ้าเป็นผลมาจากการลืมเลือนของมนุษย์เอง โดยที่พวกเขาไม่ใส่ใจต่อคำสอนของพระองค์ และไม่ใส่ใจต่อคำสอนของศาสนา

คำตอบเชิงรายละเอียด

ในช่วงตรงนี้, อันดับแรกจะขออธิบายโองการซึ่งได้ถูกตั้งคำถามจากพวกเขาเสียก่อน หลังจากนั้นจะตอบข้อสงสัยของพวกเขาด้วยเหตุผลทางสติปัญญา รายงานฮะดีซ และโองการอัลกุรอาน, ดังนั้น เจตนารมณ์ของเราคือการตีความคำถาม หลังจากนั้นจะขจัดความสงสัยคลางแคลงใจ และข้อบกพร่อง

อัลกุรอาน หลายโองการได้กล่าวอธิบายไว้ซึ่งเป็นพื้นฐานของคำถามที่ว่า (พระองค์อัลลอฮฺทรงลืมชนบางกลุ่มกระนั้นหรือ?) โองการกล่าวว่า :

1) “ดังนั้น วันนี้เราจะลืมพวกเขาบ้าง ดั่งที่พวกเขาเคยลืมการพบกับวันของพวกตนวันนี้”[1]

2) “และจะมีการกล่าวขึ้นว่า "วันนี้เราจะลืมพวกเจ้า เช่นที่พวกเจ้าได้ลืมการพบในวันนี้ของพวกเจ้า"[2]

3) “เช่นนั้นแหละเมื่อโองการทั้งหลายของเราได้มีมายังเจ้า เจ้าก็ทำเป็นลืมมัน และในทำนองเดียวกัน วันนี้เจ้าก็จะถูกลืม”[3]

4) “โดยที่พวกเขาลืมอัลลอฮฺ แล้วพระองค์ก็ทรงลืมพวกเขาบ้าง”[4]

เราจะเห็นว่าอัลกุรอาน โองการเหล่านี้ได้อธิบายให้เห็นอย่างชัดเจนว่า จะมีชนกลุ่มหนึ่งถูกลืมเลือนไปจากอัลลอฮฺ ซึ่ง 3 โองการแรกกล่าวว่า การหลงลืมนี้เกี่ยวข้องกับวันสอบสวน ส่วนโองการที่ 4, เกี่ยวข้องกับโลกนี้

ขณะที่คำถามได้ถูกถามขึ้นว่า ประการแรก : อัลลอฮฺ ทรงประสบปัญหาการลืมเลือนด้วยกระนั้นหรือ? และเราสามารถนำเอาคุณลักษณะของการลืมเลือน (ในความหมายที่ว่าพระองค์ไม่มีความรู้ประจักษ์) สัมพันธ์ไปยังพระองค์ได้หรือไม่? ประการที่สอง : ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงทั้งในแง่ของความเป็นไปได้ และเป็นอย่างไรนั้นจะสามารถกล่าวได้อย่างไร?

แล้วเราสามารถนำเอาคุณลักษณะของการลืมเลือน ในความหมายที่ว่าการไม่มีความรู้ประจักษ์สัมพันธ์ไปยังอัลลอฮฺ ได้หรือไม่?

ตามหลักความเชื่อของอิสลาม หรือความเชื่อทางศาสนา ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานของการพิสูจน์จะเห็นว่า คุณลักษณะบกพร่องทั้งหมด (ที่ไม่มีอยู่จริง) เช่น การลืมเลือนในความหมายที่ว่าสิ่งนี้ได้ถูกปฏิเสธไปจากอัลลอฮฺ ทั้งที่พระองค์ทรงสัมบูรณ์ในทุกสิ่ง ทรงรอบรู้ และทรงปรีชาญาณยิ่ง, อีกทั้งพระองค์ทรงบริสุทธิ์จากคุณลักษณะบกพร่องทั้งหลาย ซึ่งได้ถูกอธิบายไว้ในตำราอ้างอิงทั้งด้านความเชื่อ และเทววิทยา เป็นตำราที่เชื่อถือได้เนื่องจากได้พิสูจน์ด้วยเหตุผลทางสติปัญญา และปรัชญา แน่นอนว่าการอธิบายตำราเหล่านั้นคงไม่เหมาะสมตรงนี้[5]

อัลกุรอาน ยืนยันว่าอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงบริสุทธิ์ยิ่งจากคุณลักษณะบกพร่องดังกล่าวนี้ อัลกุรอานกล่าวว่า “พระผู้อภิบาลของเจ้านั้นไม่ทรงหลงลืมสิ่งใดเลย”[6] ในอีกที่หนึ่งกล่าวว่า : “พระผู้อภิบาลของฉันจะไม่ทรงผิดพลาด และไม่ทรงหลงลืม”[7]

ด้วยเหตุนี้ จะเห็นว่านี่คือหลักฐานส่วนหนึ่งสจากคำยืนยันของอัลกุรอานว่า พระผู้อภิบาลไม่ทรงลืมเลือนแน่นอน. ขณะที่คำถามกล่าวว่า โองการที่กล่าวว่าอัลลอฮฺ ทรงลืมปวงบ่าวบางคนหมายความว่าอย่างไร?

รายงานจากบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) จำนวนมากมาย พร้อมกับเป็นคำอธิบายกำกับโองการเหล่านี้, ซึ่งทำให้ความคลางแคลงใจเหล่านี้หมดไปอย่างปริยาย, รายงานฮะดีซจากท่านอิมามริฎอ (อ.) ตอนอธิบายโองการที่กล่าวว่า :

" فَالْیَوْمَ نَنْساهُمْ.."

ซึ่งประโยคที่ว่า (نْساهُمْ) หมายถึงพระองค์ได้ละทิ้งพวกเขาไป เนื่องจากพวกเขาได้ละเลยวันฟื้นคืนชีพก่อน ซึ่งได้ถูกเตรียมพร้อมไว้สำหรับพวกเขา, ซึ่งเราก็จะลืมพวกเขาเหมือนกันในวันนั้น[8] ดังนั้นเป็นที่เข้าใจได้ว่า จุดประสงค์ของการลืม คือการเบือนสายตาแห่งพระเมตตาไปจากพวกเขา

ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้กล่าวเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวนี้ว่า “การลืมเลือนของอัลลอฮฺหมายถึงการที่พระองค์กีดกันพวกเขาให้พ้นไปจากความดี”[9] แน่นอน วิธีการนี้ถือว่าเป็นวิทยปัญญาที่วางอยู่บนความยุติธรรม บนพื้นฐานของการดัดนิสัยของพวกที่หลงลืม เช่น บ่าวคนนี้เมื่อสัมพันธ์ไปยังอัลลอฮฺ หรือเหมือนกับนักเรียนคนหนึ่งซึ่งตลอดทั้งปีการศึกษา เขาไม่เคยสนใจหรือให้ความสำคัญต่อบทเรียนแม้แต่น้อย, แน่นอนอนาคตทางการศึกษาของเขา บทเรียน และคุณครูได้ถูกเขาล้อเล่น และเย้ยหยันสิ้นดี ในทางกลับกันอาจารย์ที่เห็นว่านักเรียนคนนี้อยู่ในสภาพดังกล่าว อาจารย์ก็จะปล่อยเขาไว้เช่นนั้น และในวันสอบอาจารย์ก็จะปล่อยเขาให้อยู่ในสภาพนั้น โดยไม่ให้ความช่วยเหลือเขาแต่อย่างใด

ขณะเดียวกันต้องใส่ใจต่อประเด็นดังต่อไปนี้กล่าวคือ การตัดความเมตตาของพระเจ้าจากปวงบ่าว ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ว่าปวงบ่าวได้หลงลืมพระเจ้าก่อน ได้นำเอาคำสอนของศาสนา และศาสนามาเป็นเครื่องล้อเล่น, และตนมุ่งมั่นอยู่กับภารกิจทางโลก[10] กล่าวคือ อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ตอบแทนรางวัลการหลงลืมแก่มนุษย์ที่หลงลืม, ดังเช่นทีพวกเขาได้หลงลืมการรำลึกถึงอัลลอฮฺ ดังที่อัลกุรอานเตือนสำทับว่า “สูเจ้าจงรำลึกถึงเราเพื่อเราจะได้รำลึกถึงเจ้า”

ดังนั้น ตามที่อัลกุรอานได้อธิบายมา อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงนำการหลงลืมสัมพันธ์ไปยังพระองค์ ในทางตรงกันข้ามทั้งเหตุผลจากอัลกุรอาน และสติปัญญาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การหลงลืมอันเป็นผลลัพธ์มาจากการลืมเลือน การไม่มีความรู้ประจักษ์ และการไม่รู้ ไม่อาจพบได้ในอัลลอฮฺ (ซบ.) ซึ่งพระองค์ทรงสัมบูรณ์โดยแท้จริง ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับ และไม่มีสิ่งใดเล็ดรอดไปจากองค์ความรู้ของพระองค์แม้เพียงเสี้ยวของผงธุลีก็ตาม อัลกุรอาน กล่าวว่า “พระผู้อภิบาลของฉัน ผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัย มันจะเกิดขึ้นแก่พวกเจ้าอย่างแน่นอน ไม่มีแม้แต่น้ำหนักเพียงเท่าธุลีในเหล่าชั้นฟ้าและในแผ่นดิน และที่เล็กยิ่งกว่านั้นและที่ใหญ่กว่านั้น จะรอดพ้นจากพระองค์ เว้นแต่จะอยู่ในบันทึกอันชัดแจ้งทั้งสิ้น”[11] ฉะนั้น จุดประสงค์ของการหลงลืมของอัลลอฮฺ, ก็คือการไม่ใส่พระทัยของพระองค์ การถอดถอนความเมตตา และการกีดกันเขาให้พ้นไปจากความดีงาม

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราคงจะสัมฤทธิ์ผลในการใคร่ครวญโองการอัลกุรอาน และการเพิ่มพูนปัจจัยยังชีพ และขอพระองค์อย่าได้ถอดถอนพระหัตถ์ไปจากเรา เพื่อว่าเราจะได้ไม่เป็นผู้หลงลืม และอยู่ในความโปรดปรานและความเมตตาของพระองค์ตลอดไป

.



[1] อัลกุรอาน บทอะอฺรอฟ, 51 กล่าวว่า :  فَالْیَوْمَ نَنْساهُمْ کَما نَسُوا لِقاءَ یَوْمِهِمْ هذا

[2] อัลกุรอาน บทญาซียะฮฺ, 34 กล่าวว่า : وَ قیلَ الْیَوْمَ نَنْساکُمْ کَما نَسیتُمْ لِقاءَ یَوْمِکُمْ هذا.

[3] อัลกุรอาน บทฏอฮา, 126 กล่าวว่า : قالَ کَذلِکَ أَتَتْکَ آیاتُنا فَنَسیتَها وَ کَذلِکَ الْیَوْمَ تُنْسى

[4] อัลกุรอาน บทเตาบะฮฺ, 67 กล่าวว่า : نَسُوا اللَّهَ فَنَسِیَهُم

[5] ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก อัลเกาลุซซะดีด ฟี ชัรฮิล ตัจญฺดีด, หน้า 274, หลังจากนั้นเป็นต้นไป และหลักความเชื่อในอิสลาม บทที่ 15 - 22

[6] อัลกุรอาน บทมัรยัม, 64 กล่าวว่า : و ما کان ربک نسّیا

[7] อัลกุรอาน บทฏอฮา, 52 กล่าวว่า : : لا یَضِلُّ رَبِّی وَ لا یَنْسى‏

[8] ตัหซีรนูรุซซะเกาะลัยนฺ

[9] ตัฟซีรนูร อ้างมาจากตัฟซีรโบรฮาน, บทเตาบะฮฺ 67.

[10] เป็นบทสรุปมาจากโองการที่ 51, บทอะอฺรอฟ, และโองการที่ 34 – 35 , บทญาซียะฮฺ

[11] อัลกุรอาน บทสะบาอฺ, 3 กล่าวว่า : عالِمِ الْغَیْبِ لا یَعْزُبُ عَنْهُ مِثْقالُ ذَرَّةٍ فِی السَّماواتِ وَ لا فِی الْأَرْضِ وَ لا أَصْغَرُ مِنْ ذلِکَ وَ

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ท่านอิมามฮุเซน(อ.)มีบุตรสาวชื่อรุก็อยยะฮ์หรือสะกีนะฮ์ไช่หรือไม่ ที่เสียชีวิตที่ดามัสกัสขณะอายุได้สามหรือสี่ขวบ?
    7241 تاريخ بزرگان 2554/12/21
    แม้ว่านักประวัติศาสตร์จะมิได้กล่าวถึงบุตรสาวตัวน้อยของอิมามฮุเซน(อ.) ที่มีนามว่ารุก็อยยะฮ์หรือฟาฏิมะฮ์ศุฆรอฯลฯแต่ตำราบางเล่มก็สาธยายเรื่องราวอันน่าเวทนาของเด็กหญิงคนนี้ณซากปรักหักพังในแคว้นชามเราพบว่ามีเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวปรากฏในตำราประวัติศาสตร์บางเล่มอาทิเช่นก. เมื่อท่านหญิงซัยนับ(ส.) ได้เห็นศีรษะของอิมามฮุเซน(อ.) ผู้เป็นพี่ชายนางได้รำพึงรำพันบทกวีที่มีเนื้อหาว่า “โอ้พี่จ๋าโปรดคุยกับฟาฏิมะฮ์น้อยสักนิดเถิดเพราะหัวใจนางกำลังจะสูญสลาย”
  • เพราะสาเหตุใดส่วนแบ่งมรดกของสตรีจึงได้เพียงครึ่งหนึ่งของชาย ?
    10558 สิทธิและกฎหมาย 2554/04/21
    หนึ่งในสาเหตุที่ส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายชายมากกว่าฝ่ายหญิงคือเรืองค่าเลี้ยงดูของหญิงอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายชายกล่าวคือฝ่ายชายนอกจากจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนแล้วยังมีหน้าที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายประจำวันของฝ่ายหญิงและบรรดาลูกๆอีกด้วยอีกด้านหึ่งฝ่ายชายต้องเป็นผู้จ่ายมะฮฺรียะฮฺส่วนฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายรับมะฮฺรียะฮฺนั้นตามความเป็นจริงสามารถกล่าวได้ว่าสิ่งที่ฝ่ายหญิงได้รับในฐานะของมรดกหรือมะฮฺรียะฮฺนั้นก็คือทรัพย์สะสมขณะที่ส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายชายถูกใช้ไปเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของตนของภรรยาและบรรดาลูกๆนอกจากนี้แล้ว
  • การจ่ายคุมซ์เป็นทรัพย์สินเพียงครั้งเดียว แล้วต่อไปไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกใช่หรือไม่?
    5650 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ดั่งเป็นที่ทราบกันดีว่าคุมซ์คือหนึ่งในการบริจาคทรัพย์อันเป็นวาญิบสำคัญในอิสลามเป็นหนึ่งในหลักการอิสลามและเป็นอิบาดะฮฺด้วยด้วยสาเหตุนี้เองจำเป็นต้องเนียต (ตั้งเจตคติ) เพื่อแสวงความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ (ซบ.)ทรัพย์สินและเงินทุนต่างๆที่ต้องจ่ายคุมซ์ถ้าหากจ่ายคุมซ์ไปแล้วเพียงครั้งเดียวไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานหลายปีก็ตามแต่ถ้าเป็นทรัพย์ที่เติบโตหรือมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมทุนเดิมไม่ต้องจ่ายคุมซ์แต่ส่วนที่เป็นผลกำไรงอกเงยอออกมาวาญิบต้องจ่ายคุมซ์[1][1]  เตาฏีฮุลมะซาอิลมะริญิอฺ
  • การแสวงหาความต้องการอื่น ๆ นอกจากพระเจ้า เช่นขอจากบบี (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) เป็นชิริกหรือไม่ เพราะในความเป็นจริงผู้ตอบสนองความต้องการคือพระเจ้า
    7825 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    การให้ความเคารพการย้อนกลับการขอความต้องการไปยังผู้ทรงเกียรติ (พระศาสดาและบรรดาอิมาม) ถ้าหากมีเจตนาว่าพวกเขามีบทบาทต่อการเกิดผลและสามารถปลดเปลื้องความต้องการของเราได้โดยเป็นอิสระจากพระเจ้าหรือปราศจากการพึ่งพิงไปยังอาตมันสากลของพระองค์การมีเจตนารมณ์เช่นนี้ถือว่าเป็นชิริกอีกทั้งขัดแย้งกับเตาฮีดอัฟอาล (ความเป็นเอกภาพในการกระทำ) เนื่องจากพระองค์ปราศจากการพึ่งพิงไปยังสิ่งอื่นขณะที่สิ่งอื่นต้องพึ่งพิงไปยังพระองค์ขัดแย้งกับเตาฮีดรุบูบียะฮฺ(อำนาจบริหารและบริบาลเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวส่วนบรรดาศาสดามะลักหรือปัจจัยทางธรรมชาติเป็นเพียงสื่อของพระองค์)
  • ทั้งที่พจนารถของอิมามบากิรและอิมามศอดิกมีมากมาย เหตุใดจึงไม่มีการรวบรวมไว้ในหนังสือสักชุดหนึ่ง?
    6643 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/07
    หากจะพิจารณาถึงสังคมและยุคสมัยของท่านอิมามบากิร(อ.)และอิมามศอดิก(อ.)ก็จะเข้าใจได้ว่าเหตุใดจึงไม่มีการรวบรวมตำราดังกล่าวขึ้นอย่างไรก็ดีฮะดีษของทั้งสองท่านได้รับการรวบรวมไว้ในบันทึกที่เรียกว่า “อุศู้ลสี่ร้อยฉบับ” จากนั้นก็บันทึกในรูปของ”ตำราทั้งสี่” ต่อมาก็ได้รับการเรียบเรียงเป็นหมวดหมู่ฟิกเกาะฮ์ในหนังสือวะซาอิลุชชีอะฮ์กว่าสามสิบเล่มโดยท่านฮุรอามิลีแต่กระนั้นก็ต้องทราบว่าแม้ว่าฮะดีษของอิมามสองท่านดังกล่าวจะมีมากกว่าท่านอื่นๆก็ตามแต่หนังสือดังกล่าวก็มิได้รวบรวมเฉพาะฮะดีษของท่านทั้งสองแต่ยังรวมถึงฮะดีษของอิมามท่านอื่นๆอีกด้วย ทว่าปัจจุบันมีการเรียบเรียงหนังสือในลักษณะเจาะจงอยู่บ้างอาทิเช่นมุสนัดอิมามบากิร(อ.) และมุสนัดอิมามศอดิก(
  • ท่านอิมามอลี(อ.)อธิบายถึงการก้าวสู่ตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของเคาะลีฟะฮ์สามคนแรกไว้ในคุฏบะฮ์บทใด?
    6542 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/28
    ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวถึงการก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของเคาะลีฟะฮ์สามคนแรกไว้ในคุฏบะฮ์ที่สามซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในนาม “คุฏบะฮ์ชิกชิกียะฮ์” จากคำที่ท่านกล่าวตอนท้ายคุฏบะฮ์คุฏบะฮ์นี้มีเนื้อหาครอบคลุมคำตัดพ้อของท่านอิมามอลี(อ.)เกี่ยวกับประเด็นคิลาฟะฮ์และเล่าถึงความอดทนต่อการสูญเสียตำแหน่งดังกล่าวอีกทั้งเหตุการณ์ที่ประชาชนให้สัตยาบันต่อท่านซึ่งจะนำเสนอรายละเอียดในคำตอบแบบสมบูรณ์ ...
  • ตามคำสอนของศาสนาอื่น นอกจากอิสลาม, สามารถไปถึงความสมบูรณ์ได้หรือไม่? การไปถึงเตาฮีดเป็นอย่างไร?
    10029 เทววิทยาใหม่ 2554/06/21
    แม้ว่าปัจจุบันนี้จะมีความถูกต้องอยู่บ้างในบางศาสนาดั่งที่เราได้เห็นประจักษ์กับสายตาตัวเอง, แต่รูปลักษณ์ที่สมบูรณ์ของความจริงซึ่งได้แก่เตาฮีด, มีความประจักษ์ชัดเฉพาะในศาสนาอิสลามเท่านั้น, เหตุผลหลักสำหรับการพิสูจน์คำพูดดังกล่าว,คือการไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้การถูกบิดเบือนและความบกพร่องต่างๆทางปัญญาในศาสนาต่างๆขณะที่ด้านตรงข้าม, การไม่ถูกเปลี่ยนแปลงและไม่ถูกสังคายนาของอัลกุรอาน, มีหลักฐานและประวัติที่เชื่อถือได้, คำสอนที่ครอบคลุมของอิสลาม, การเข้ากันได้อย่างเป็นธรรมชาติของคำสอนอิสลามกับสติปัญญาสมบูรณ์ ...
  • น้ำยาบ้วนปากซึ่งโดยปกติแล้วจะมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมอยู่ จะมีฮุกุ่มอย่างไร?
    8331 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/08
    แอลกอฮอล์ชนิดที่ยังคลางแคลงใจว่าเป็นน้ำเมา[1]แต่เดิมหรือไม่นั้นให้ถือว่าสะอาดและสามารถค้าขายหรือใช้ผลิตพันธ์ที่มีแอลกอฮอล์ดังกล่าวเป็นส่วนผสมได้ตามปกติ[2]
  • ในอายะฮ์ "وَمَنْ عَادَ فَینتَقِمُ اللّهُ مِنْهُ وَاللّهُ عَزِیزٌ ذُو انْتِقَامٍ"، สาเหตุของการชำระโทษคืออะไร
    7045 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/05
    อายะฮ์ที่ได้ยกมาในคำถามข้างต้นนั้นเป็นอายะฮ์ที่ถัดจากอายะฮ์ก่อนๆในซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์ซึ่งมีเนื้อหาว่าการล่าสัตว์ขณะที่กำลังครองอิฮ์รอมถือเป็นสิ่งต้องห้ามในที่นี่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ได้กล่าวว่าผู้ใดที่ได้ละเมิดขอบเขตของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) กล่าวคือไม่ยี่หระสนใจเกี่ยวกับข้อห้ามในการล่าสัตว์ในขณะที่ครองอิฮ์รอมอยู่โดยได้ล่าสัตว์ขณะที่กำลังทำฮัจญ์  อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ก็จะชำระโทษพวกเขาดังนั้นสาเหตุของการชำระโทษในที่นี้ก็คือการดื้อดึงที่จะทำบาปนั้นเอง[1]ใครก็ตามที่ได้กระทำสิ่งต้องห้าม (ล่าสัตว์ขณะครองอิฮ์รอม) พระองค์ย่อมจะสำเร็จโทษเขาอายะฮ์ดังกล่าวต้องการแสดงให้เห็นว่าบาปนี้เป็นบาปที่ใหญ่หลวงถึงขั้นที่ว่าผู้ที่ดื้อแพ่งจะกระทำซ้ำไม่อาจจะชดเชยบาปดังกล่าวได้ในอันดับแรกสามารถชดเชยบาปได้โดยการจ่ายกัฟฟาเราะฮ์และเตาบะฮ์แต่ถ้าหากได้กระทำบาปซ้ำอีกอัลลอฮ์จะชำระโทษผู้ที่ฝ่าฝืนเนื่องจากพระองค์ทรงเป็นผู้มีชัยและเป็นจ้าวแห่งการชำระโทษและสำนวนอายะฮ์นี้แสดงให้เห็นว่าบาปดังกล่าวเป็นบาปที่ใหญ่หลวงสำหรับปวงบ่าวนั่นเอง[2]คำถามนี้ไม่มีคำตอบเชิงรายละเอียด[1]มัฆนียะฮ์, มุฮัมหมัดญะวาด
  • การบนบานแบบใหนสัมฤทธิ์ผลตามต้องการมากที่สุด?
    13663 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/28
    นะซัร(บนบานต่ออัลลอฮ์) คือวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ได้รับในสิ่งที่ต้องการซึ่งมีพิธีกรรมเฉพาะตัวอาทิเช่นจะต้องเปล่งประโยคเฉพาะซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาอรับตัวอย่างเช่นการเปล่งประโยคที่ว่า“ฉันขอนะซัรว่าเมื่อหายไข้แล้ว

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60190 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57650 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42267 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39476 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38994 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34050 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28063 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28048 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27885 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25866 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...