การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7409
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/10/07
คำถามอย่างย่อ
อิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) ได้สมรสกับหญิงหลายคน และหย่าพวกนางหรือ?
คำถาม
ท่านอิมามฮะซัน (อ.) หย่าภรรยาหรือ?
คำตอบโดยสังเขป

หนึ่งในประเด็น อันเป็นความเสียหายใหญ่หลวง และน่าเสียใจว่าเป็นที่สนใจของแหล่งฮะดีซทั่วไปในอิสลาม, คือการอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซ โดยนำเอาฮะดีซเหล่านั้นมาปะปนรวมกับฮะดีซที่มีสายรายงานถูกต้อง โดยกลุ่มชนที่มีความลำเอียงและรับจ้าง ท่านอิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) เป็นอิมามผู้บริสุทธิ์ท่านที่สอง, เป็นหนึ่งในบุคคลที่บรรดานักปลอมแปลงฮะดีซ ได้กุการมุสาพาดพิงไปถึงท่านอย่างหน้าอนาถใจที่สุด ในรูปแบบของรายงานฮะดีซ ซึ่งหนึ่งในการมุสาเหล่านั้นคือ การแต่งงานและการหย่าร้างจำนวนมากหลายครั้ง

แต่หน้าเสียใจตรงที่ว่า รายงานเท็จเหล่านี้บันทึกอยู่ในแหล่งอ้างอิงฮะดีซและหนังสือประวัติศาสตร์ ทั้งซุนนียฺและชีอะฮฺ แต่ก็หน้ายินดีว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักความเชื่อที่ถูกต้องมีอยู่อยู่มือจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งทำให้การอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซของพวกเขาเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน

คำตอบเชิงรายละเอียด

หนึ่งในความเสียหายที่สำคัญ และเป็นการทำลายล้างแนวคิด ซึ่งเสียดายว่าเป็นที่สนใจจากแหล่งที่มาของฮะดีซต่างๆ ในอิสลาม นั่นคือ การปลอมแปลงฮะดีซและการนำเข้าไปแทรกไว้ในฮะดีซที่ถูกต้อง อันเป็นแรงจูงใจทั้งจากทางการเมืองและศาสนา และ...ซึ่งบางครั้งก็เป็นไปตามเป้าหมายของบุคคลที่น่ารังเกียจ และโสโครกจากเหล่าผู้นำทั้งวงศ์วานอะมะวีย และอับบาซซียฺ บางครั้งก็มีเป้าหมายเพื่อการทำลาย และสร้างความเสื่อมเสียแก่บุคคลที่มีคุณค่าทางสำคัญ ด้วยเหตุนี้เอง การจำแนกฮะดีซที่ถูกต้อง ออกจากฮะดีซที่อุปโลกน์และปลอมแปลงเข้ามานั้น เป็นภารกิจที่ยากและหนักหนาสาหัสมาก

ท่านอิมามฮะซันมุจญฺตะบา (อ.) คือบุคคลหนึ่งที่เป็นเป้าหมายของการการกรุฮะดีซปลอม และสร้างฮะดีซเท็จ แต่โชคดีที่ครั้งนี้ศัตรูที่โง่เขลาของท่าน ได้กล่าวหาและใส่ร้ายท่านเรื่องจำนวนการแต่งงาน และการหย่าร้างที่เกิดขึ้นหลายครั้ง คำใส่ร้ายและข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง ที่พวกเขาได้พาดพิงถึงท่านอิมามฮะซันมุจญฺตะบา (อ.) นั้นชัดเจนยิ่ง

ซึ่งรายงานบางบทกล่าวว่า ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ปรึกษากับชายผู้เป็นบิดา ที่ท่านอิมามจะไปสู่ขอบุตรสาวของเขาให้แก่ ท่านอิมามฮะซัน อิมามฮุซัยนฺ และอับดุลลอฮฺ บิน ญะอฺฟัร ท่านกล่าวกับเขาว่า : ท่านพึงรู้ไว้ด้วยว่า ฮะซัน นั้นมีภรรยามากและก็หย่าร้างหลายครั้งด้วย ดังนั้น จงให้บุตรสาวของท่านสมรสกับฮุซัยนฺ จะดีกว่าสำหรับบุตรสาวของท่าน”[1]

อีกรายงานหนึ่งกล่าวว่า ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า : ฮะซัน บุตรของอะลี หย่าภรรยาถึง 50 คน จนกระทั่งว่าท่านอิมามอะลี (อ.) ได้เรียกตัวท่านไปยังกูฟะฮฺ และกล่าวว่า : โอ้ ชาวกูฟะฮฺเอ๋ย จงอย่ายกบุตรสาวของท่านให้แก่ฮะซัน เนื่องจากเขาเป็นผู้ที่หย่าภรรยามากที่สุด ขณะนั้นได้มีชายคนหนึ่งยืนขึ้น และกล่าวว่า : ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า ฉันจะทำเช่นนั้น เนื่องจากเขาเป็นบุตรของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) และฟาฏิมะฮฺ (อ.) บุตรีของท่านเราะซูล ถ้าเขาต้องการเขาก็เก็บภรรยาไว้ ถ้าไม่ต้องการก็หย่าไป[2]

อีกรายงานหนึ่ง ท่านอิมามบากิร (อ.) กล่าวว่า : ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้กล่าวแก่ชาวกูฟะฮฺวว่า : จงอย่ายกบุตรสาวให้แก่ฮะซัน เนื่องจากเขาเป็นผู้หย่าภรรยามากที่สุด[3]

หนังสือประวัติศาสตร์ของฝ่ายซุนนียฺบางเล่ม เช่น อินซาบุลอัชรอก[4] กูวะตุลกุลูบ[5] อิฮฺยาอุลอุลูม[6] ชัรฮฺ นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ อิบนุ อบิลฮะดีด มุอฺตะซิลียฺ[7] ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวไว้ แม้ว่าจะกล่าวว่าสิ่งที่รายงานกำลังถึงเรื่องราวของท่านอิมามฮะซัน เป็นความเท็จ กระนั้นการยอมรับความเท็จก็เป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง นอกจากนั้นผู้ปลอมแปลงฮะดีซบางคน ยังได้เติมจำนวนภรรยาที่ได้หย่าขาดจากท่านอิมามฮะซันไว้ด้วย ซึ่งบางท่านกล่าวว่ามีถึง 300 คน[8] แน่นอนว่าฮะดีซเหล่านี้คือ เหตุผลที่ไร้สาระ ไร้ค่า และห่างไกลจากตรรกะมาก

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักความเชื่อจำนวนมากมายที่มีอยู่ในมือ ทั้งหมดเหล่านั้นได้บ่งชี้ให้เห็นถึงความไม่ถูกต้องของฮะดีซดังกล่าว เช่น

1.ท่านอิมามฮะซันมุจญฺตะบาอฺ (อ.) ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 15 เดือนรอมฏอน ปี ฮ.ศ. ที่ 2 หรือ 3 และชะฮาดัตเมื่อวันที่ 28 เซาะฟัร ปี ฮ.ศ. 49 ท่านมีอายุประมาณ 46 หรือ 47 ปี ถ้าหากท่านอิมามสมรสครั้งแรกเมื่ออายุ 20 ปี และเมื่อนับไปจนถึงวันชะฮาดัตของท่านอิมามอะลี (อ.) ปี ฮ.ศ. 40 จะเห็นว่ามีระยะห่างอยู่ประมาณ 17-18 ปี ซึ่งตามรายงานฮะดีซ ในช่วงระยะเพียง 17-18 ปี อิมามต้องสมรสและหย่าจำนวนมากมาย นอกจากนั้นช่วงระยะการปกครองของท่านอิมามอะลี (อ.) ประมาณ 5 ปีกว่า ท่านอิมามได้เข้าร่วมสงครามใหญ่ 3 ครั้งคือ นะฮฺระวอน ยะมัล และซิฟฟีน นอกจากนั้น ท่านอิมามฮะซันยังได้เดินเท้าเปล่าจากมะดีนะฮฺ เพื่อไปประกอบพิธีฮัจญฺ ณ บัยตุลลอฮฺ ถึง 20 ครั้ง ติดต่อกัน ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากเวลาแล้วจะเห็นว่าท่านอิมามมีเวลาพอที่จะกระทำสิ่งนั้น ฉะนั้น แน่นอนว่า การยอมรับฮะดีซลักษณะนี้ย่อมไม่เข้ากับสติปัญญา

2. รายงานส่วนใหญ่ที่กล่าวในหนังสือฮะดีซ จะระบุว่ารายงานมาจากท่านอิมามซอดิก (อ.) เสียเป็นส่วนใหญ่ หมายถึงว่าเวลาได้ล่วงเลยผ่านยุคท่านอิมามฮะซัน มุจญฺตะบาอฺ (อ.) ไปประมาณ 1 ศตวรรษ เนื่องจากท่านอิมามซอดิก (อ.) ชะดาดัตในปี ฮ.ศ. 148 ขณะที่อิมามฮะซัน (อ.) ชะฮาดัตในปี ฮ.ศ. 48 ดังนั้น ถ้าหากรายงานเหล่านี้มาจากท่านอิมามซอดิก (อ.) จริง ท่านอิมาม (อ.) มีจุดประสงค์อันใดในการกล่าวถึงเรื่องนั้น ซึ่งเรื่องผ่านไปประมาณ 100 ปีแล้ว ท่านอิมามซอดิก (อ.) ต้องการที่จะแสดงหรือเปิดเผยให้เห็นถึงวิกฤติที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของท่านอิมามฮะซัน (อ.) กระนั้นหรือ? แน่นอน ตรงนี้คือประเด็นที่ต้องใคร่ครวญ เนื่องจากว่าคำพูดเหล่านี้ ได้ถูกกล่าวถึงตั้งแต่แรกจากปากของ มันซูร ดะวอนนีกียฺ ผู้เป็นศัตรูตัวฉกาจกับบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) มันซูรได้กล่าวคำพูดนี้ต่อหน้าชาว โคราซาน ว่า : “ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า ฉันมอบตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺให้แก่บุตรหลานของอบูฏอลิบ โดยที่พวกเราไม่เคยทักท้วงเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งว่า อะลี บุตรของอบูฏอลิบ ได้รับตำแหน่งไป แต่ในช่วงนั้นเขาไม่ประสบความสำเร็จ จึงต้องนำไปสู่การตัดสิน ทำให้ประชาชนต้องแตกแยก และมีคำพูดต่างๆ นานาเกิดขึ้น จนกระทั่งได้มีมุสลิมกลุ่มหนึ่งโจมตีเขา และสังหารเขาในที่สุด หลังจากเขา ฮะซัน บุตรชายของเขาก็ได้ดำรงตำแหน่งแทน แต่เขาเป็นชายคนหนึ่ง เมื่อได้มีการเสนอทรัพย์สินให้เขาไม่เคยปฏิเสธ มุอาวะยะฮฺ ได้ใช้เล่ห์กลลวงให้เขาเป็นเป็นตัวแทนสืบทอดบัลลังก์ แต่ต่อมาเขาก็ได้ถูกกำจัดให้พ้นทาง เขาจึงหันไปมั่วสตรีแทน และไม่มีวันใดเลยที่ฮะซันไม่ได้แต่งงาน หรือหย่าร้าง จนกระทั่งเขาได้เสียชีวิตบนเตียงนอน”[9]

3. ถ้าหากสิ่งที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้เป็นเรื่องจริง แน่นอนศัตรูหัวโจกจะต้องหาข้ออ้างต่างๆ มาทำลายอิมามแม้แต่เรื่องเล็กน้อยที่สุด เช่น สีของเสื้อผ้า พวกเขาจะต้องทักท้วง ซึ่งในสมัยที่ท่านอิมามฮะซัน (อ.) ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะต้องจัดการโดยละเอียดไปแล้ว และข้อทักท้วงก็จะต้องเกิดขึ้นอย่างมากมาย ถ้าหากคำกล่าวอ้างทางประวัติศาสตร์เป็นความจริง จะถือว่านี่เป็นประเด็นอ่อนแอที่ใหญ่โตมาก และพวกเขาจะไม่ละเว้นเด็ดขาด แต่เมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์อย่างละเอียด กับไม่มีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเลย

4. จำนวนภรรยา บุตร และเขยและสะใภ้ของท่านอิมามฮะซัน (อ.) ที่บันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ ไม่ตรงและไม่เข้ากันกับจำนวนที่รายงานฮะดีซกล่าวถึง จำนวนบุตรของท่านอิมามฮะซัน (อ.) ที่กล่าวไว้มากที่สุดคือ  22 คน และน้อยที่สุดคือ 12 คน และมีสตรี 13 คนที่ถูกเอ่ยนามในฐานะภรรยาของท่านอิมาม ขณะที่ภรรยา 3 คนของท่าน มิได้มีรายงานกล่าวถึงรายละเอียดแต่อย่างใด นอกจากนั้นประวัติศาสตร์ยังได้บันทึกไว้ว่าท่านอิมามฮะซัน มีบุตรเขยเพียง 3 คน[10]

5.รายงานจำนวนมากที่บ่งบอกถึงการหย่าร้างของท่านอิมาม ซึ่งรายงานเหล่านั้นได้มีกล่าวไว้ในหนังสือทั้งฝ่ายซุนนียฺ และชีอะฮฺ ท่านเราะซูล (อ.) กล่าวว่า “สิ่งฮะลาลที่อัลลอฮฺ ทรงรังเกลียดที่สุดคือ การหย่าภรรยา”[11] ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า จงแต่งงานแต่จงอย่าร้าง เนื่องจากการหย่าร้างจำทำให้บัลลังก์ของอัลลอฮฺ สั่นสะเทือน[12] ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวโดยรายงานมาจากบิดาของท่านว่า “อัลลอฮฺ ทรงเกลียดชังผู้ชายที่นิยมการหย่าร้าง เพื่อเสวยสุขตัณหา”[13]

เมื่อถึงตรงนี้ ท่านสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า อิมามมะอฺซูม (อ.) ได้กระทำสิ่งนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วบิดาของท่านก็มิเคยห้ามปรามสิ่งเหล่านี้เลยกระนั้นหรือ

6. ท่านอิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) เป็นบุคคลที่เคร่งครัดเรื่องอิบาดะฮฺ เป็นผู้มีความสำรวมตนสูงสุดในสมัยของท่าน[14] ท่านจะใช้เวลาส่วนใหญ่ดุอาอฺ และสรรเสริญอัลลอฮฺ ท่านกล่าวว่า “ฉันรู้สึกละอายต่อพระผู้อภิบาลของฉัน ที่ว่าฉันจะได้พบพระองค์ โดยที่ฉันไม่เคยเดินเท้าเปล่าไปพบพระองค์ ณ บัยตุลลอฮฺ”[15] ซึ่งท่านอิมามได้เดินจากมะดีนะฮฺไปฮัจญฺถึง 20 ครั้งด้วยกัน ดังนั้น ท่านอิมามจะมีเวลากระทำสิ่งที่ฮะดีซเหล่านั้นกรุขึ้นได้อย่างไร

7.คุณสมบัติของผู้ทำการหย่า “การหย่าร้าง” เป็นสิ่งที่ได้รับการตำหนิอย่างรุนแรงในยุคญาฮิลียะฮฺ ดังนั้น เมื่อท่านหญิงคอดิญะฮฺ (อ.) ได้ปรึกษากับ วะเราะเกาะฮฺ บุตรชายของลุง ถึงชายที่ได้มาสู่ขอท่านแต่งงาน  ท่านได้ถามเขาว่าฉันควรจะตอบรับใครดีกว่ากัน เขากล่าวว่า ชัยบะฮฺ เป็นคนที่ชอบพูดจาในแง่ร้าย อุกบะฮฺก็แก่เกินไป อบูญะฮัล เป็นคนขี้เหนียวและจองหอง ซัลบฺ เป็นชายที่ชอบหย่าภรรยา เวลานั้น ท่านหญิงคอดิญะฮฺ ได้ขอให้พระเจ้าสาปแช่งคนเหล่านั้น และท่านได้กล่าวว่า ยังมีชายอีกคนหนึ่งได้มาสู่ขอฉันเช่นกัน

ตรงนี้สิ่งที่จำเป็นต้องพิจารณาคือ คุณลักษณะบางประการที่ได้รับการประณามและการตำหนิในหมู่ญาเฮลลียะฮฺ และประชาชนส่วนใหญ่ไม่พร้อมที่จะยกบุตรสาวให้แต่งงานกับเขาคือ ชายผู้หย่าร้างภรรยา แล้วเวลานั้นท่านอิมามอะลี (อ.) ผู้มีความสำรวมตนอย่างสูง มีศรัทธาเข้มแข็งจะยอมปล่อยให้บุตรชายของท่านประพฤติเช่นนั้นหรือ แล้วบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์จะเปรอะเปื้อนกับคุณสมบัติที่อัลลอฮฺ ทรงเกลียดชัง และทรงกริ้วโกรธ

เหล่านี้บางส่วนก็เป็นเหตุผลที่ยืนยันให้เห็นถึง การโกหกและการกรุความเท็จอย่างไร้สาระที่สุด

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่สามารถยอมรับข้ออ้าง คำพูดที่ไม่มีเหตุผล และไม่มีความเป็นธรรมเหล่านี้ว่า บุคลิกของท่านอิมามได้ เนื่องจากรายงานจำนวนมากมายจากท่านเราะซูล (อ.) ได้ยกย่องสรรเสริญท่านอิมามฮะซัน (อ.) ไว้[16]

ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก :

1.ฮะยาต อัลอิมาม อัลฮะซัน (อ.) บากิร ชรีฟ อัลกุเรชชี, เล่ม 2, หน้า 457, 472, (ดารุลกุตุบ อัลอะละมียะฮฺ)

2.เนซอม ฮุกูก ซัน ดัร อิสลาม, ชะฮีด มุเฏาะฮะรียฺ, หน้า 306*309, (อินเตชารอต ซ็อดรอ)

3.ซินเดกี อิมามฮะซัน (อ.) มะฮฺดี พีชวออียฺ, หน้า 31-39, (อินเตชารอต นัซล์ ญะวอน)

4.อัลอิมามุล มุจญฺตะบาอฺ (อ.) ฮะซัน อัลมุซเฏาะฟะวียฺ, หน้า 228, 234, (สำนักพิมพ์ อัลมุซเฏาะฟะวียฺ)

5.อัซกูเชะวะเกนอร ตารีค, ซัยยิดอะลี ชะฟีอียฺ, หน้า 88, (กิตาบคอเนะ ซ็อดรฺ)

6.ซินเดกียฺ อิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) ซัยยิด ฮาชิม เราะซูลลียฺ มะฮัลลอตียฺ, หน้า 469-484, (ตัฟตัร นัชรฺ ฟังฮังก์ อิสลามี)

7.ฮะกออิก เพนฮอนนี, อะฮฺมัด ซะมอนนียฺ, หน้า 331, 354, (เอนเตชารอต ดัฟตัร ตับลีฆอต อิสลามี)

 


[1] อัลบัรกี มะฮาซิน, เล่ม 2, หน้า 601

[2] อัลกาฟียฺ, เล่ม 6, หน้า 56, ฮะดีซที่ 4, 5.

[3] ดะอาอิม อัลอิสลาม, เล่ม 2, หน้า 257, ฮะดีซที่ 980

[4] อินซาบุลอัชรอก, เล่ม 3, หน้า 25

[5] กูวะตุลกุลูบ, เล่ม 2, หน้า 246.

[6] มะฮัจญฺตุลบัยฎอ, เล่ม 3, หน้า 69.

[7] ชัรฮฺ นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ , เล่ม 4, หน้า 8, (ชุด 4 เล่ม)

[8] กูวะตุลกุลูบ อบูฏอลิบ มักกีย์

[9] มุรูจญุล ซะฮับ, เล่ม 3, หน้า 300.

[10] ฮะยาต อัลอิมามอัลฮะซัน (อ.) เล่ม 2, หน้า 463-469-457.

[11] สุนัน อบีดาวูด, เล่ม 2, หน้า 632, ฮะดีซที่ 2178

[12] วะซาอิลุชชีอะฮฺ, เล่ม 15, หน้า 268, มะการิมุลอัคลาก, หน้า 225, « تزوّجوا و لا تطلقوا فان الطلاق يهتزّ منه العرش».

[13] วะซาอิลุชชีอะฮฺ, เล่ม 15, หน้า 267, ฮะดีซที่ 3 « ان اللّه‏ عز و جل يبغض کل مطلاق و ذوّاق ».

[14] ฟะรออิด อัซซิมฏัยนฺ, เล่ม 2, หน้า 68, บิฮารุลอันวาร, เล่ม 16, หน้า 60.

[15] บิฮารุลอันวาร, เล่ม 43, หน้า 399, « ني لأستحيي من ربي ان القاه و لم امش الي بيته» فمشي عشرين مرة من المدينة علي رجليه.».

[16] บางเนื้อหาคัดลอกมาจาก บทความชื่อว่า ตะอัมมุลี ดัร อะฮาดีซ กิษรัต เฏาะลาก ของมะฮฺดี มะฮฺรีซี, วารสาร พัยยอมซัน, เดือนตีร ปี 77, ฉบับที่ 76, โดยมีการปรับเปลี่ยนคำพูดเล็กน้อย

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ทั้งที่ซะกาตไม่วาญิบสำหรับท่านอะลี (อ.) แล้วเพราะเหตุใดท่านต้องบริจาคซะกาตขณะนมาซด้วย ?
    6961 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/09/25
    ท่านอิมามอะลี (อ.) ไม่เคยเป็นคนจนหรือคนอนาถาจนไม่มีจะกินแต่อย่างใดแต่ท่านเป็นคนมีความพยายามสูงและไม่เคยหยุดนิ่ง, ท่านได้รับทรัพย์สินจำนวนมากมายแต่ทรัพย์ทั้งหมดเหล่านั้นท่านได้บริจาคไปในหนทางของอัลลอฮฺ (ซบ.), โดยไม่เหลือทรัพย์ส่วนใดไว้สำหรับตนเอง,ดังที่โองการต่างๆได้กล่าวถึงการบริจาคซะกาตของท่านไว้มากมายซึ่งหนึ่งในโองการเหล่านั้นก็คือโองการที่กำลังกล่าวถึงนอกจากนั้นแล้ววัฒนธรรมของอัลกุรอานยังได้กล่าวถึงการบริจาคที่เป็นมุสตะฮับ (สมัครใจ)
  • กรุณาไขเคล็ดลับวิธีบำรุงสมองทั้งในแง่รูปธรรมและนามธรรมตามที่ปรากฏในฮะดีษ
    7360 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/28
    ปัจจัยที่มีส่วนช่วยบำรุงสมองและเสริมความจำมีอยู่หลายประเภทอาทิเช่น1. ปัจจัยด้านจิตวิญญาณก. การรำลึกถึงอัลลอฮ์(ด้วยการปฏิบัติศาสนกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการนมาซตรงเวลา)ข. อ่านบทดุอาที่มีผลต่อการเสริมความจำอย่างเช่นดุอาที่นบี(ซ.ล.)สอนแก่ท่านอิมามอลี(อ.)[i]سبحان من لایعتدى على اهل مملکته، سبحان من لایأخذ اهل الارض بالوان العذاب، سبحان الرؤوف الرحیم، اللهم اجعل لى فى قلبى نورا و بصرا و فهما و علما انک على کل ...
  • ทำไมอิมามฮุซัยน (อ.) จึงไม่ลุกขึ้นยืนในสมัยของมุอาวิยะฮ ?
    7508 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/03/08
    สำหรับคำตอบที่ว่าเพราะเหตุใดท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จึงไม่ลุกขึ้นยืนต่อสู้ในสมัยมุอาวิยะฮฺนั้นสามารถกล่าวได้ว่าอาจเป็นเพราะประเด็นเหล่านี้ :1. เป็นเพราะการให้เกียรติและเคารพในสนธิสัญญาของพี่ชายและอิมามของท่าน
  • มลาอิกะฮ์สร้างมาจากรัศมีของบรรดาอิมาม และมีหน้าที่ร่ำไห้แด่อิมามฮุเซน(อ.)กระนั้นหรือ?
    8981 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/19
    1. ความเชื่อที่ว่ามลาอิกะฮ์สร้างขึ้นจากรัศมีนั้นได้รับการยืนยันจากฮะดีษหลายบทที่รายงานไว้ในตำราฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่ตำราชีอะฮ์บางเล่มระบุถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆรวมถึงมลาอิกะฮ์จากรัศมีของปูชนียบุคคลอย่างท่านนบี(ซ.ล.) หรือบรรดาอิมามหรือบุคคลอื่นๆดังที่ตำราของซุนหนี่เองก็เล่าว่าเคาะลีฟะฮ์ท่านแรกและคนอื่นๆถือกำเนิดจากรัศมีของท่านนบี(ซ.ล) การที่มีฮะดีษเหล่านี้ปรากฏอยู่ในตำรับตำราของแต่ละฝ่ายมิได้หมายความว่าทุกคนจะต้องคล้อยตามฮะดีษเหล่านี้เสมอไป อย่างไรก็ดีตำราฮะดีษชีอะฮ์ได้รายงานฮะดีษชุด "ฏีนัต" ไว้ซึ่งไม่อาจจะมองข้ามได้กล่าวโดยสรุปคือหากพบว่ามุสลิมแต่ละฝ่ายอาจมีทัศนะแตกต่างกันบ้างในเรื่องการสรรสร้างของพระองค์
  • ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ให้บัยอัตแก่อบูบักรฺ อุมัร และอุสมานหรือไม่? เพราะอะไร?
    10155 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/07/16
    ประการแรก: ท่านอิมามอะลี (อ.) และบรรดาสหายกลุ่มหนึ่งของท่าน พร้อมกับสหายของท่านศาสดา มิได้ให้บัยอัตกับท่านอบูบักรฺตั้งแต่แรก แต่ต่อมาคนกลุ่มนี้ได้ให้บัยอัต ก็เนื่องจากว่าต้องการปกปักรักษาอิสลาม และความสงบสันติในรัฐอิสลาม ประการที่สอง: ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นไม่อาจคลี่คลายให้เสร็จสิ้นได้ด้วยคมดาบ หรือความกล้าหาญเพียงอย่างเดียว และมิได้หมายความว่าทุกที่จะสามารถใช้กำลังได้ทั้งหมด เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้มีสติปัญญา และฉลาดหลักแหลม สามารถใช้เครื่องมืออันเฉพาะแก้ไขปัญหาได้ ประการที่สาม: ถ้าหากท่านอิมามยอมให้บัยอัตกับบางคน เพื่อปกป้องรักษาสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า เช่น ปกป้องศาสนาของพระเจ้า และความยากลำบากของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) นั่นมิได้หมายความว่า ท่านเกรงกลัวอำนาจของพวกเขา และต้องการรักษาชีวิตของตนให้รอดปลอดภัย หรือท่านมีอำนาจต่อรองในตำแหน่งอิมามะฮฺและการเป็นผู้นำน้อยกว่าพวกเขาแต่อย่างใด ประการที่สี่ : จากประวัติศาสตร์และคำพูดของท่านอิมามอะลี (อ.) เข้าใจได้ว่า ท่านอิมาม ได้พยายามคัดค้านและท้วงติงพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง เกี่ยวกับสถานภาพตามความจริง ในช่วงการปกครองของพวกเขา แต่ในที่สุดท่านได้พยายามปกปักรักษาอิสลามด้วยการนิ่งเงียบ และช่วยเหลืองานรัฐอิสลามเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ...
  • การนอนในศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นบริเวณฮะร็อมมีฮุกุมอย่างไร?
    5350 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/19
    ฮะร็อม(บริเวณสุสาน)ของบรรดาอิมามตลอดจนศาสนสถานถือเป็นสถานที่ที่มุสลิมให้เกียรติมาโดยตลอดเนื่องจากการแสดงความเคารพสถานที่เหล่านี้ถือเป็นการให้เกียรติบรรดาอิมามและบุคคลสำคัญต่างๆที่ฝังอยู่ณสุสานดังกล่าวฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่ส่อไปในทางลบหลู่ดูหมิ่นสถานที่เหล่านี้เท่าที่จะทำได้แต่ทว่าในแง่ของฟิกฮ์การนอนในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นมัสยิด, ฮะร็อมฯลฯถือว่าไม่เป็นที่ต้องห้ามนอกจากคนทั่วไปจะมองว่าการนอนในสถานที่ดังกล่าวเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่ซึ่งในกรณีนี้เนื่องจากวิถีประชาเห็นว่าการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ไม่บังควรก็จะถึอว่าไม่ควรกระทำไม่ว่าสถานที่เหล่านั้นจะเป็นมัสยิดหรือฮะร็อมของบรรดาอาอิมมะฮ์ฯลฯก็ตาม
  • มีภัยคุกคามใดที่อาจจะเกิดขึ้นกับสาธารณรับอิสลาม?
    5365 ระบบต่างๆ 2554/11/21
    เพื่อที่จะทราบถึงภัยคุกคามของสิ่งๆหนึ่งก่อนอื่นเราจะต้องทำความรู้จักกับมูลเหตุต่างๆที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น (ปัจจัยกำเนิด) และสิ่งที่จะทำให้สิ่งนั้นดำรงอยู่ (ปัจจัยพิทักษ์) เสียก่อนเนื่องจากภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็คือภัยที่จะคุกคามสองปัจจัยดังกล่าวนี่เองปัจจัยกำเนิดและพิทักษ์ของสาธารณรัฐอิสลามก็คือ 1. หลักคำสอนที่สูงส่งของอิสลาม (การปฏิบัติตามคำสั่งและหลักคำสอนของอิสลาม) 2. การมีผู้นำการปฏิวัติที่รอบรู้ 3. ความเป็นปึกแผ่นของประชาชนและการเชื่อฟังผู้นำหากปัจจัยดังกล่าวถูกคุกคามสาธารณรัฐอิสลามก็จะตกอยู่ในอันตรายฉะนั้นประชาชนเจ้าหน้าที่รัฐ
  • เนื่องจากการเสริมสวยใบหน้า ดังนั้น กรณีนี้สามารถทำตะยัมมุมแทนวุฎูอฺได้หรือไม่?
    9265 สิทธิและกฎหมาย 2556/01/24
    ทัศนะบรรดามัรญิอฺ ตักลีดเห็นพร้องต้องกันว่า สิ่งที่กล่าวมาในคำถามนั้นไม่อาจนำมาเป็นข้ออ้าง เพื่อละทิ้งวุฎูอฺหรือฆุซลฺ และทำตะยัมมุมแทนได้เด็ดขาด[1] กรณีลักษณะเช่นนี้ ผู้ที่มีความสำรวมตนส่วนใหญ่จะวางแผนไว้ก่อน เพื่อไม่ให้โปรแกรมเสริมสวยมามีผลกระทบกับการปฏิบัติสิ่งวาญิบของตน ซึ่งส่วนใหญ่จะทราบเป็นอย่างดีว่าเวลาที่ใช้ในการเสริมสวยแต่ละครั้งจะไม่เกิน 6 ชม. ดังนั้น ช่วงเวลาซุฮฺรฺ เจ้าสาวสามารถทำวุฏูอฺและนะมาซในร้านเสริมสวย หลังจากนั้นค่อยเริ่มแต่งหน้าเสริมสวย จนกว่าจะถึงอะซานมัฆริบให้รักษาวุฏูอฺเอาไว้ และเมื่ออะซานมัฆริบดังขึ้น เธอสามารถทำนะมาซมัฆริบและอิชาอฺได้ทันที ดังนั้น ถ้าหากมีการจัดระเบียบเวลาให้เรียบร้อยก่อน เธอก็สามารถทำได้ตามกล่าวมาอย่างลงตัว อย่างไรก็ตามเจ้าสาวต้องรู้ว่าเครื่องสำอางที่เธอแต่งหน้าไว้นั้น ต้องสามารถล้างน้ำออกได้อย่างง่ายดาย และต้องไม่เป็นอุปสรรคกีดกั้นน้ำสำหรับการทำวุฎูอฺเพื่อนะมาซซุบฮฺในวันใหม่ [1] มะการิมชีรอซียฺ,นาซิร,อะฮฺกามบานูวอน, ...
  • การเข้าร่วมงานแต่งงานที่มีจำนวนแขกจำ ซึ่งกำหนดไว้ก่อนแล้วล่วงหนา แต่แขกที่มาไม่มีใครคุมผ้าเรียบร้อยสักคนเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าบ่าว กรณีนี้กฎเกณฑ์ทางศาสนบัญญัติกล่าวไว้อย่างไร (และลักษณะงานเช่นนี้ โดยทั่วไปเจ้าบ่าวและมะฮาริมที่เข้าร่วมงานแต่ง ตลอดงานนิกาฮฺจะแยกระหว่างชายหญิง)
    4701 สิทธิและกฎหมาย 2562/06/15
    เริ่มแรกเกี่ยวกับคำถามข้างต้น ขอกล่าวถึงทัศนะของมัรญิอฺตักลีด 1.งานสมรสตามประเพณีอิสลาม คือการร่วมแสดงความสุข รื่นเริง โดยปราศจากการกระทำความผิดบาปต่าง ๆ หรือภารกิจต่าง ๆ ที่ฮะรอม และมารยาทอันไม่ดีไม่งาม ที่มิใช่วิสัยของมนุษย์[1] 2.เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าบ่าว หรือนามะฮฺรัมคนอื่น จำเป็นต้องรักษาฮิญาบ อย่างเคร่งครัด ซึ่งตรงนี้ไม่แตกต่างกันระหว่างงานสมรส และงานชุมนุมอย่างอื่น[2] 3.การเข้าร่วมงานสมรส หรืองานสังสรรค์อื่นๆ ซึ่งภายในงานนั้นมิได้เอาใจใส่สิ่งเป็นวาญิบในอิสลาม (เช่น แขกที่มาอยู่รวมกันทั้งชายและหญิง มีการเต้นรำ หรือเปิดเพลงที่ฮะรอม อย่างเปิดเผย) ถือว่าฮะรอม[3] 4. ถ้างานสมรสมิได้เป็นไปในลักษณะที่ว่า เป็นงานสังสรรค์แบบไร้สาระ ฮะรอม เป็นบาป หรือการปรากฏตัวในงานเหล่านั้น มิได้เป็นการสนับสนุนการก่อความเสียหาย ซึ่งการเข้าร่วมในงานสังสรรค์เช่นนั้น โดยทั่วไปไม่ถือว่าเป็นการสนับสนุน ถือว่าไม่เป็นไร
  • แถวนมาซญะมาอะฮฺควรตั้งอย่างไร? การเคลื่อนในนมาซทำให้บาฎิลหรือไม่?
    6811 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/21
    เกี่ยวกับคำถามของท่านในเรื่องการจัดแถวนมาซญะมาอะฮฺมีกล่าวไว้แล้วในหนังสือฟิกฮต่างๆ :1. มะอฺมูมต้องไม่ยืนล้ำหน้าอิมามญะมาอะฮฺ[1]2. มุสตะฮับถ้าหากมะอฺมูม,เป็นชายเพียงคนเดียว, ให้ยืนด้านขวามือของอิมามญะมาอะฮฺ[2], และเป็นอิฮฺติยาฏวาญิบให้ยืนถอยไปด้านหลังของอิมามญะมาอะฮฺแต่ถ้ามีมะอฺมูมหลายคนให้ยืนด้านหลังของอิมามญะมาอะฮฺ[3]ดังนั้นโดยทั่วไปของเรื่องนี้ต้องการให้แต่ละคนจากมะอฺมูมคนที่ 1 และ 2 ปฏิบัติหน้าที่ของตนส่วนคำตอบสำหรับคำถามที่ว่ามะอฺมูมคนที่สองเป็นสาเหตุทำให้มะอฺมูมคนแรกต้องเคลื่อนที่ในนมาซญะมาอะฮฺอันเป็นสาเหตุทำให้นมาซของเขาบาฏิลหรือไม่นั้น, ต้องกล่าวว่า: การกระทำใดก็ตามที่ทำให้รูปแบบของมนาซต้องสูญเสียไปถือว่านมาซบาฏิล, เช่นการกอดอกหรือการกระโดดและฯลฯ[4]มัรฮูมซัยยิดกาซิมเฎาะบาเฏาะบาอียัซดีกล่าวว่า[5]ขณะนมาซ,ถ้าได้เคลื่อนเพื่อหันให้ตรงกับกิบละฮฺ[6]ถือว่าถูกต้อง,แม้ว่าจะถอยไปสองสามก้าวหรือมากกว่านั้น, เนื่องจากการเคลื่อนเพียงเท่านี้ไม่นับว่าเป็นอากับกริยาเพิ่มในนมาซทั้งที่มิได้มีการเคลื่อนมากมายและไม่ถือเป็นการทำลายรูปลักษณ์ของนมาซหรือเคลื่อนมากไปกว่านั้นก็ยังไม่ถือว่าทำลายรูปลักณ์ของนมาซอยู่ดีด้วยเหตุนี้มีรายงานอนุญาตให้กระทำเช่นนั้นด้วย

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60074 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57461 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42157 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39251 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38900 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33960 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27975 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27896 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27720 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25733 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...