Please Wait
8292
ความจริงที่เหล่าบรรดาศาสดาแห่งพระเจ้าได้พิสูจน์ด้วยเหตุผลแน่นอน, แต่กระนั้นก็ยังได้รับการปฏิเสธจากผู้คนในสมัยของตน,แสดงให้เห็นถึงความดื้อรั้นของผู้ปฏิเสธ, เนื่องจากไม่ต้องการที่จะยอมรับความจริง, มิใช่ว่าเหตุผลในการพิสูจน์พระเจ้าไม่เพียงพอ, หรือเหตุผลในการปฏิเสธพระเจ้าเหนือกว่า
อุปสรรคปัญหาต่างๆ จำนวนมากมายจากบรรดาผู้ปฏิเสธ หรือผู้ที่มีความสงสัยในพระเจ้าได้นำเสนอนั้น, ไม่มีเหตุผลใดวางอยู่บนความถูกต้องสักประการเดียว, แต่ในสภาพเช่นนั้นก็ไม่อาจคิดเข้าข้างความสงสัยเหล่านั้นได้,เนื่องจากความคิดของผู้ปฏิเสธนั้นไม่ว่าจะนำเสนอเหตุผลที่แน่นอนที่สุดเพียงใด พวกเขาก็จะไม่ยอมรับทั้งสิ้น และตราบที่หัวใจของพวกเขามิได้ถูกประดับประดาด้วยรัศมีของความศรัทธาแล้วละก็ ความคิดของเขาก็จะไม่เลิกรากับความดื้อรั้นที่พวกเขามีอยู่ และแน่นอน ความเชื่อมั่นและความศรัทธานั้นมิใช่ว่าจะเกิดจากการวิภาษกันในแง่ปรัชญาเพียงอย่างเดียวก็หาไม่ ด้วยเหตุนี้เอง จึงมุสลิมไม่ได้มีหน้าที่คอยค้นหาหรือตรวจสอบความเชื่อของผู้ปฏิเสธศรัทธา เหตุผลที่พวกเขาปฏิเสธพระเจ้า แล้วคอยตอบคำถามเหล่านั้นที่ละข้อ เพื่อจะได้มั่นใจว่าพวกเขาไม่มีข้ออ้างอันใดอีกแล้วในการปฏิเสธพระเจ้า, เนื่องจากในบั้นปลายของทุกๆ เหตุผลและข้อพิสูจน์นั้น อาจเป็นไปได้ว่าอาจมีผู้กล่าวอ้างและท้วงติงในเหตุผลเหล่านั้นอีกก็เป็นได้ และในที่สุดแล้วบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก็จะพูดเหมือนกับผู้ปฏิเสธทั้งหลายก่อนหน้านี้ ซึ่งพวกเขาได้เคยพูดกับบรรดาศาสดามาก่อนแล้ว, ลำดับต่อไปจะชี้ให้เห็นคำพูดของพวกเขาที่กล่าวไว้ในอัลกุรอาน เพื่อเป็นตัวอย่างดังนี้ :
1. “และเมื่อได้มีการกล่าวว่า "แท้จริงสัญญาของอัลลอฮฺ เป็นความจริง และโลกาวินาศนั้นไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ในเรื่องนั้น" สูเจ้าก็จะกล่าวว่า "เราไม่รู้ว่าโลกาวินาศคืออันใด เราคิดว่าเป็นเพียงการคาดคะเนเท่านั้น และเราไม่ได้เป็นผู้เชื่อมั่นในเรื่องนี้”[1]
2.พวกได้กล่าวแก่ศาสดาชุอัยบ์ว่า :
“พวกเขากล่าวว่า โอ้ ชุอัยบฺเอ๋ย เราไม่เข้าใจลึกซึ้งส่วนมากที่ท่านกล่าว แท้จริงเราเห็นว่าท่านเป็นคนอ่อนแอในหมู่พวกเรา ถ้าไม่ใช่เพราะเผ่าพันธุ์ของท่านแล้ว แน่นอน เราจะเอาหินขว้างท่าน และท่านก็ไม่ได้เป็นผู้มีเกียรติ (อำนาจ) เหนือพวกเราแต่อย่างใด”[2]
3. พวกปฏิเสธได้กล่าวแก่ศาสดานูฮฺ (อ.) ว่า : “พวกเขากล่าวว่า โอ้ นูฮฺเอ๋ย! แน่นอน ท่านได้โต้เถียงกับเรา และท่านได้สาวความมากขึ้น ดังนั้น จงนำสิ่งที่สำทับเราไว้ (การลงโทษ) มาให้เราเถิด ถ้าท่านอยู่ในหมู่ผู้สัตย์จริง”[3]
ด้วยเหตุนี้เอง, จะเห็นว่าบรรดาศาสดาแห่งพระเจ้าได้นำเสนอเหตุผล และข้อมูลที่แน่นอนแก่พวกเขาแล้ว, แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังปฏิเสธอยู่ ซึ่งสิ่งนี้บ่งบอกให้เห็นถึงความดื้อรั้นของพวกเขา ที่ไม่ยอมรับความจริง มิใช่ว่าเหตุผลในการพิสูจน์พระเจ้าไม่เพียงพอ, หรือเหตุผลในการปฏิเสธพระเจ้าเหนือกว่าแต่อย่างใด
[1] «وَ إِذا قيلَ إِنَّ وَعْدَ اللَّهِ حَقٌّ وَ السَّاعَةُ لا رَيْبَ فيها قُلْتُمْ ما نَدْري مَا السَّاعَةُ إِنْ نَظُنُّ إِلاَّ ظَنًّا وَ ما نَحْنُ بِمُسْتَيْقِنينَ»อัลกุรอาน บทอัลญาซียะฮฺ, 32.
[2] «قالُوا يا شُعَيْبُ ما نَفْقَهُ كَثيراً مِمَّا تَقُولُ وَ إِنَّا لَنَراكَ فينا ضَعيفاً وَ لَوْ لا رَهْطُكَ لَرَجَمْناكَ وَ ما أَنْتَ عَلَيْنا بِعَزيزٍ»อัลกุรอาน บทฮูด, 91.
[3] «قالُوا يا نُوحُ قَدْ جادَلْتَنا فَأَكْثَرْتَ جِدالَنا فَأْتِنا بِما تَعِدُنا إِنْ كُنْتَ مِنَ الصَّادِقينَ»อัลกุรอาน บทฮูด, 32.