การค้นหาขั้นสูง

มิติบุคลิกภาพด้านต่างๆของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนในลักษณะที่จะต้องได้รับการพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเท่านั้นจึงจะสามารถประจักษ์ได้ ซึ่งการนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับมิติด้านศีลธรรมและจิตใจ ความรู้ และการต่อสู้ของนางทั้งในเชิงการเมืองและสังคม
ขอหยิบยกบุคลิกภาพอันโดดเด่นของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ที่กล่าวถึงในตำราฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์)มานำเสนอโดยสังเขปดังนี้


1. ท่านหญิงใช้ชีวิตเรียบง่ายและพอใจวิถีชีวิตสมถะ ทั้งที่สามารถจะได้รับความสะดวกสบายขั้นสูงสุด
2. บริจาคของรักของตนมากมายทั้งที่ยังจำเป็นต้องใช้
3. ทำอิบาอะฮ์และวิงวอนต่ออัลลอฮ์สม่ำเสมอด้วยความบริสุทธิใจ
4. เป็นภาพลักษณ์แห่งจริตกุลสตรีและความเหนียมอาย
5. แบบฉบับที่สมบูรณ์ด้านการสวมฮิญาบตามวิถีอิสลาม
6. มีความรู้อันกว้างขวาง ซึ่งประจักษ์ได้จากการรับทราบเนื้อหาในตำรา"มุศฮัฟ ฟาฏิมะฮ์"
7. ต่อสู้ทางการเมืองและสังคมเพื่อปกป้องตำแหน่งวะลีของท่านอิมามอลี(อ.)ภายหลังจากนบีเสียชีวิต

ตำราเล่มแล้วเล่มเล่าได้กล่าวถึงบุคลิกภาพและสถานะทางจิตวิญญาณที่สูงส่งของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ(ส.) แต่แม้ว่าปัญญามนุษย์จะถ่ายทอดความสูงส่งของเธอในรูปของหนังสือหรือสุนทรพจน์ให้มากกว่านี้อีกสักร้อยสักพันเท่า ก็ยังเทียบได้เพียงหยดน้ำในมหาสมุทรความดีงามของเธอ[1] และถึงแม้ว่าเราไม่อาจจะตีแผ่ทั้งหมด ก็ถือว่ายังดีที่ได้นำเสนอละอองความดีงามของเธอ ณ ที่นี้ ดังที่นักกวีได้ประพันธ์ไว้ว่า
แม้มิอาจดื่มทะเลให้เหือดแห้ง  อย่างน้อยขอจิบให้ได้แรงก็ยังดี

เกี่ยวกับบุคลิกภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ(ส.) ปัญญาที่เฉียบแหลมที่สุดในหมู่มนุษยชาติก็ยังงุนงงกับความสูงส่งทางบุคลิกภาพ และหากต้องการจะเข้าใจบุคลิกภาพของเธออย่างลึกซึ้ง จำเป็นต้องน้อมรับฟังฮะดีษจากบรรดามะอ์ศูมีน(อ.)
มีฮะดีษที่เชื่อถือได้หลายบทระบุว่าบุคลิกภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เปรียบเสมือนแก่นแท้ของลัยละตุ้ลก็อดร์ เนื่องจากลัยละตุ้ลก็อดร์เป็นฐานรองรับการประทานอัลกุรอานที่เป็นรูปเล่ม ส่วนท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เป็นฐานรองรับการประทานอัลกุรอานที่พูดได้(บรรดาอิมาม) ซึ่งล้วนเป็นผู้ที่พัฒนาถึงขีดสุดของความเป็นมนุษย์[2]

ฐานะภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ส.)สูงส่งถึงขั้นที่ว่าความพึงพอใจและความกริ้วโกรธของเธอ ถือเป็นมาตรวัดความพึงพอใจและความพิโรธของท่านนบี(ซ.ล.)และพระองค์อัลลอฮ์ ดังที่มีฮะดีษระบุว่า "ฟาฏิมะฮ์คือส่วนหนึ่งของฉัน ผู้ใดที่ทำให้เธอสุขใจ ถือว่าทำให้ฉันมีความสุขด้วย และผู้ที่ทำให้ฉันมีความสุข ย่อมทำให้พระองค์ทรงพึงพอพระทัย..ฟาฏิมะฮ์คือมนุษย์ที่ประเสริฐสุดในสายตาของฉัน"[3] อีกฮะดีษหนึ่งท่านนบี(ซ.ล.)ระบุว่า "มัรยัมคือประมุขของสตรีในยุคของนาง ทว่าฟาฏิมะฮ์บุตรีของฉัน เป็นประมุขแห่งอิสตรีทั่วโลกนับแต่บรรพกาลจนถึงวันสิ้นโลก"[4] อีกฮะดีษกล่าวว่า "มีมะลาอิกะฮ์ตนหนึ่งได้แจ้งแก่ฉันว่า ฟาฏิมะฮ์(ส.)คือประมุขแห่งสตรีชาวสวรรค์ และเลอเลิศที่สุดในหมู่อิสตรี" [5]จะเห็นได้ว่าคุณงามความดีของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์สูงส่งยิ่งกว่าท่านหญิงมัรยัมและสตรีที่ได้รับการยกย่องอย่างเช่นท่านหญิงอาสิยะฮ์ เพราะเกียรติสูงสุดของท่านหญิงอาสิยะฮ์คือการได้รับโอกาสในการช่วยทำคลอดท่านหญิงฟาฏิมะฮ์[6]

ส่วนมิติด้านศีลธรรมจรรยาของท่านหญิงนั้น สังเกตุเห็นได้จากวิถีชีวิตอันเรียบง่ายและสมถะ ทั้งที่สามารถจะได้รับความสะดวกสบายขั้นสูงสุด เนื่องจากเธอมีฐานะเป็นธิดาของท่านนบี(ซ.ล.) ท่านนบี(ซ.ล.)ได้มอบที่ดินเกษตรกรรม"ฟะดัก"แก่เธอ[7] ซึ่งทำรายได้ให้กับเธอไม่น้อย เธอสามารถจะหาซื้อเครื่องอำนวยความสะดวกอย่างครบครันสำหรับครอบครัว แต่เธอเลือกบริจาคผลกำไรทั้งหมดแก่ผู้ยากไร้ โดยตนเองก็ทนใช้ชีวิตอย่างสมถะต่อไป

มิติทางบุคลิกภาพอีกประการหนึ่งของเธอก็คือ มิติแห่งการบริจาคและความเสียสละ ดังจะเห็นได้จากเรื่องราวการบริจาคชุดเจ้าสาวของตนแก่หญิงชราผู้ยากไร้ในคืนวิวาห์ หรือเมื่อครั้งที่ได้บริจาคอาหารแก่ผู้ยากไร้ เด็กกำพร้า และเชลยศึก ทั้งๆที่ครอบครัวของเธอไม่มีอาหารเพื่อละศีลอดเป็นเวลาสามคืนติดต่อกัน อันได้รับการตีแผ่ไว้ในซูเราะฮ์ อัดดะฮ์ริ (อัลอินซาน)

อีกมุมหนึ่งของคุณความดีของเธอก็คือการทำอิบาดะฮ์ ในเชิงปริมาณนั้น เธอทำอิบาดะฮ์ในทุกย่างก้าว เพราะไม่ว่าพฤติกรรมหรือวจีกรรมของเธอ ความเพียรพยายามของเธอ ลมหายใจเข้าออกของเธอทั้งวันและคืน ล้วนแล้วแต่เป็นอิบาดะฮ์ทั้งสิ้น[8] หลังจากที่เธอนำลูกๆเข้านอนและทำงานบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอจะทำนมาซตะฮัจญุดจนเท้าทั้งสองข้างบวมเป่ง[9] อิบาดะฮ์ของเธอเปี่ยมสว่างไสวถึงขั้นที่มวลมะลาอิกะฮ์แปลกใจที่เห็นลำรัศมีส่องสว่างจากบ้านของเธอ กระทั่งมลาอิกะฮ์ระดับสูงกว่าเจ็ดหมื่นตนพร้อมใจกันกล่าวสลามและอวยพรแด่เธอ[10]

หนึ่งในความภาคภูมิใจของชีอะฮ์ก็คือเศาะฮีฟะฮ์ฟาฏิมียะฮ์  ซึ่งญิบรออีลได้ถ่ายทอดความรู้บางประการแก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์[11]

ความเหนียมอายและจริตแห่งกุลสตรี นับเป็นอีกมิติหนึ่งของบุคลิกภาพอันงดงามของเธอ ซึ่งควรได้รับการเชิดชูเป็นแบบอย่างสำหรับสตรีในสังคม วันหนึ่งท่านนบี(ซ.ล.)ได้เอ่ยถามบรรดาสาวกว่า "วิถีชีวิตแบบใดเหมาะสมที่สุดสำหรับสตรี?" ท่านซัลมาน(ซึ่งเป็นชายชรา)ไม่สามารถตอบได้ จึงมาเยี่ยมเยียนและสอบถามจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เธอตอบว่า "เหมาะสมที่สุดสำหรับสตรีคือ ไม่จ้องมองบุรุษเพศ และไม่ปล่อยให้บุรุษเพศจ้องมอง"[12]

ท้ายนี้ขอเน้นบุคลิกภาพของท่านหญิงที่สมควรอย่างยิ่งที่จะนำมาเป็นแบบอย่าง นั่นคือความกล้าหาญที่จะรักษาหลักวิลายะฮ์และอิมามัต เห็นได้จากการที่เธอสำแดงบทบาทดังกล่าวอย่างงดงามหมดจดหลังการจากไปของนบี(ซ.ล.)[13] เธอรู้จักผู้คนในยุคนั้นเป็นอย่างดี ทราบดีว่าคนในยุคนั้นไม่เข้าใจคำพูดของเธอ อีกทั้งไม่อาจหาญพอที่จะช่วยเหลือเธอ แต่เธอประสงค์จะให้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้ชนรุ่นหลังได้ประจักษ์และแยกแยะสัจธรรมจากอธรรม  ดังที่กล่าวว่า "ฉันรู้ดีว่าพวกท่านตกอยู่ใต้อาณัติของความต้อยต่ำ พิษแห่งการนิ่งนอนใจได้ครอบคลุมพวกท่าน และเมฆแห่งความบิดพลิ้วที่ดำทะมึนได้ปกคลุมหัวใจพวกท่าน จะพูดอย่างไรได้ในเมื่อใจของฉันกระอักเลือด และไม่อาจเงียบเฉยได้อีกต่อไป"[14]

ตลอดเวลาที่เธอต่อสู้ทางความคิดและตีแผ่ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากล ท่านหญิงไม่เคยท้อถอยยอมจำนน ทั้งนี้ก็เพื่อให้มุสลิมทุกยุคสมัยได้เข้าใจว่า ไม่ควรอดรนทนดูการรุกรานทางความเชื่อโดยไม่ทำอะไร เธอมิได้นิ่งนอนใจต่ออุตริกรรมและการบิดเบือนอิสลาม เธอผงาดสู้และเปิดโปงอธรรมอย่างเด็ดเดี่ยว ทั้งนี้ก็เพราะหยั่งรู้มาจากการบอกเล่าของญิบรออีลว่า ในอนาคตจะมีผู้มีศักยภาพพอที่จะช่วยเชิดชูอิมามัตให้รุ่งโรจน์ เมื่อนั้นจุดประสงค์ของการสรรสร้างมนุษย์ก็จะสัมฤทธิ์ผล[15]

เพื่อข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาอ่าน
รินน้ำเกาษัรอันบริสุทธิ์, มุฮัมมัดตะกี มิศบาห์ ยัซดี
ฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ จากประสูติกาลถึงชะฮาดัต, ซัยยิดมุฮัมมัดกาซิม ก็อซวีนี
วีรกรรมแห่งเกาษัร: การต่อสู้ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เอกธิดาของท่านนบี(ซ.ล.), มะญี้ด ซุญาญี คอชอนี

 


[1] รินน้ำเกาษัรอันบริสุทธิ์, มุฮัมมัดตะกี มิศบาห์ ยัซดี, หน้า 21

[2] อ้างแล้ว,หน้า17

[3] อะมาลี,เชคฏูซี,เล่ม 1,หน้า 24

[4] บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 43,หน้า 24 ,ฮะดีษที่20

[5] อะมาลี,เล่ม 1,หน้า 457 และ ดะลาอิลุ้ลอิมามะฮ์,หน้า 8 และ ฆอยะตุ้ลมะรอม,หน้า 177 และ บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 43,หน้า2

[6] อ้างแล้ว

[7] อัลกาฟี,เล่ม 1,หน้า 538, หมวด بَابُ الْفَيْ‏ءِ وَ الْأَنْفَالِ وَ تَفْسِيرِ الْخُمُسِ وَ حُدُودِهِ وَ مَا يَجِبُ فِيهِ

[8] อิห์กอกุ้ลฮักก์,เล่ม 4,หน้า481

[9] บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 42,หน้า 177

[10] อ้างแล้ว,เล่ม 43,หน้า 12,ฮะดีษที่6

[11] อ้างจากคำสั่งเสียทางการเมืองของอิมามโคมัยนี,เศาะฮีฟะฮ์นู้ร,เล่ม 21,หน้า 171, : เราภูมิใจที่ดุอาอันตรึงใจ ซึ่งขนานนามกันว่ากุรอานที่เหิรสู่เบื้องบนนั้น มาจากอิมามมะอ์ศูมีนของเรา เราภูมิใจที่เรามีมุนาญาต ชะอ์บานียะฮ์จากบรรดาอิมาม และดุอาอะเราะฟาตจากอิมามฮุเซน และเศาะฮีฟะฮ์ ซัจญาดียะฮ์,ที่เปรียบดั่งคัมภีร์ซะบู้รของวงศ์วานนบี และเศาะฮีฟะฮ์ ฟาฏิมียะฮ์ ซึ่งเป็นหนังสือที่รวมการดลใจท่านหญิงฟาฏิมะฮ์โดยพระองค์.

[12] วะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 14,หน้า 43,172 และ บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 43,หน้า 54

[13] รินน้ำเกาษัรอันบริสุทธิ์, มุฮัมมัดตะกี มิศบาห์ ยัซดี, หน้า 145

[14] กัชฟุ้ลฆุมมะฮ์,เล่ม 1,หน้า 491 และ อัลอิห์ติญ้าจ,หน้า 102 และ ดะลาอิลุลอิมามะฮ์,หน้า 37

[15] รินน้ำเกาษัรอันบริสุทธิ์, มุฮัมมัดตะกี มิศบาห์ ยัซดี, หน้า 149

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • บรรดามลาอิกะฮฺมีอายุขัยนานเท่าใด ?มลาอิกะฮฺชั้นใกล้ชิดต้องตายด้วยหรือไม่? เป็นอย่างไร?
    15096 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/09/25
    ตามรายงานกล่าวว่ามวลมลาอิกะฮฺถูกสร้างหลังจากการสร้างรูฮฺของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และบรรดาอิมาม (อ.) พวกเขาทั้งหมดแม้แต่ญิบรออีล,
  • ต้องอ่านดุอาเป็นภาษาอรับจึงจะเห็นผลใช่หรือไม่?
    6891 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/28
    ไม่จำเป็นจะต้องอ่านดุอาตามบทภาษาอรับเพราะแม้ดุอากุนูตในนมาซก็อนุญาตให้กล่าวด้วยภาษาอื่นได้แต่อย่างไรก็ตามเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะอ่านและพยายามครุ่นคิดในบทดุอาภาษาอรับที่บรรดาอิมามได้สอนไว้ทั้งนี้ก็เนื่องจากเหตุผลที่ว่า:ดังที่กุรอานคือพระวจนะของอัลลอฮ์ที่ใช้สนทนากับมนุษย์ดุอาที่บรรดาอิมาม(อ.)สอนเราไว้ก็คือบทเอื้อนเอ่ยที่มนุษย์วอนขอต่ออัลลอฮ์ดังที่ดุอาได้รับการเปรียบว่าเป็น“กุรอานที่เหิรขึ้นเบื้องบน” นั่นหมายความว่าดุอาเหล่านี้มีเนื้อหาลึกซึ้งแฝงเร้นอยู่ดังเช่นกุรอานและเนื้อหาเหล่านี้จะได้รับการตีแผ่อย่างสมบูรณ์ด้วยภาษาอรับเท่านั้นด้วยเหตุผลดังกล่าวมุสลิมจึงควรเรียนรู้ความหมายของนมาซและดุอาต่างๆเพื่อให้รู้ว่ากำลังเอ่ยขอสิ่งใดจากพระผู้เป็นเจ้าหากทำได้ดังนี้ก็จะส่งผลให้ศาสนกิจของตนอุดมไปด้วยสำนึกทางจิตวิญญาณและจะทำให้สามารถโบยบินสู่ความผาสุกอันนิรันดร์ได้.นอกเหนือปัจจัยดังกล่าวแล้วควรให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่นๆด้วยอาทิเช่นเนื้อหาดุอาไม่ควรขัดต่อจารีตที่พระองค์วางไว้ควรศอละวาตแด่นบีและวงศ์วานเสมอผู้ดุอาจะต้องหวังพึ่งพระองค์เท่านั้นมิไช่ผู้อื่นให้บริสุทธิใจและคำนึงถึงความยากไร้ของตนปากกับใจต้องตรงกันยามดุอาเคร่งครัดในข้อบังคับและข้อห้ามทางศาสนากล่าวขอลุแก่โทษต่อพระองค์พยายามย้ำขอดุอามั่นใจและไม่สิ้นหวังในพระองค์.[1][1]มุฮัมมัดตะกีฟัลสะฟี,อธิบายดุอามะการิมุ้ลอัคล้าก,เล่ม1,หน้า ...
  • ทัศนะของอุละมาอฺนักปราชญ์ทั้งหมดถือว่าการสูบบุหรี่ฮะรอมหรือไม่ ?
    7695 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/25
    อิสลามได้ห้ามการกินการดื่มและการใช้ประโยชน์จากบางสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายและถ้าทุกสิ่งที่มีอันตรายมากการห้ามโดยปัจจัยสาเหตุก็ยิ่งทวีคูณมากยิ่งขึ้นจนกระทั่งถึงขึ้นฮะรอมด้วยซ้ำไปท่านอิมามโคมัยนี ...
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26035 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...
  • มีรายงานจากอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) เกี่ยวกับผลบุญของการสาปแช่งบรรดาศัตรูบ้างไหม?
    6459 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/12/21
    มีรายงานจำนวนมากมายปรากฏในตำราฮะดีซของฝ่ายชีอะฮฺที่กล่าวเกี่ยวกับผลบุญของการสาปแช่งบรรดาศัตรูของอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ท่านอิมามริฎอ (อ.) ได้กล่าวแก่ชะบีบบิน
  • เพราะสาเหตุอันใด มนุษย์จึงลืมเลือนอัลลอฮฺ?
    8848 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/10/22
    การหยุแหย่ของชัยฏอนมารร้าย,เกี่ยวข้องทางโลกเท่านั้นอันเป็นความผิดที่เกิดจากความหลงลืมองค์พระผู้อภิบาลซึ่งในทางตรงกันข้ามนมาซ, กุรอาน, การใคร่ครวญในสัญลักษณ์ต่างๆของพระเจ้าการใช้ประโยชน์จากเหตุผลและข้อพิสูจน์
  • มีความจำเป็นอะไรที่บรรดาอิมามต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ และจะรู้ได้อย่างไรว่าอิมามเป็นมะอฺซูม?
    8065 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    ฝ่ายชีอะฮฺมีความเชื่อขัดแย้งกับฝ่ายซุนนียฺว่า, บรรดาอิมามในทุกกรณี –ยกเว้นเรื่องวะฮียฺ- มีความเสมอภาคและเท่าเทียมกับท่านศาสดา (ซ็อลฯ), ด้วยเหตุนี้เอง, บรรดาอิมามต้องเหมือนกับศาสดาตรงที่ว่าไม่ผิดพลาด, ไม่พลั้งเผลอกระทำบาปและต้องเป็นมะอฺซูม. ดั่งที่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และบรรดาศาสดาท่านอื่นเป็นอยู่แต่ฝ่ายอะฮฺลิซซุนนะฮฺ, เชื่อว่าตำแหน่งตัวแทนของท่านศาสดาเป็นเพียงตำแหน่งธรรมดาทางสังคมเท่านั้น-
  • อะฮ์ลิสซุนนะฮ์จะต้องเชื่อเช่นไรจึงจะถือว่าเป็นชีอะฮ์แล้ว?
    6560 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/09
    ชีอะฮ์และซุนหนี่มีความเชื่อและหลักปฏิบัติที่คล้ายคลึงกันมากมายอาจมีบางประเด็นที่เห็นต่างกันข้อแตกต่างสำคัญระหว่างชีอะฮ์กับซุนหนี่ก็คือประเด็นปัญหาเกี่ยวกับหลักอิมามัตและภาวะผู้นำของบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ของนบี(ซ.ล.) พี่น้องซุนหนี่จะรับสายธารชีอะฮ์ได้ก็ต่อเมื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อประเด็นอิมามัตเสียก่อนทั้งนี้ก็เนื่องจากชีอะฮ์เชื่อว่าหากไม่นับรวมสถานภาพการรับวะฮีย์แล้ว
  • สามารถจะติดต่อกับอิมามมะฮ์ดี(อ.)ได้หรือไม่?
    6929 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/07/19
    โดยทั่วไป สัมพันธภาพจะไม่เกิดขึ้นระหว่างคนแปลกหน้าสองคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นอกจากจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้จักและมีไมตรีจิตต่อฝ่ายตรงข้าม จึงจะค่อยๆสานเป็นความสัมพันธ์อันดีต่อกันในอนาคตกรณีของท่านอิมามมะฮ์ดีก็เช่นกัน ท่านรู้จักเราและมีไมตรีจิตต่อเราอย่างอบอุ่น  แต่เราซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่งของสายสัมพันธ์ หากได้รู้จักฐานะภาพของท่านอย่างแท้จริง ก็จะทำให้สามารถสานสัมพันธ์และติดต่อกับท่านได้ ดังที่อุละมาอ์ระดับสูงหรือผู้ที่สำรวมตนขัดเกลาจิตใจบางท่านสามารถติดต่อกับท่านอิมาม(อ.)ได้ในอดีตกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การสานสัมพันธ์กับท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)นั้น แบ่งออกเป็นสองประเภท 1.เชื่อมสัมพันธ์ทางจิตใจ 2.เชื่อมสัมพันธ์ในระดับการเข้าพบ อย่างไรก็ดี แม้ว่าความสัมพันธ์ทั้งสองประเภทนี้จะมิไช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อม แต่หากต้องการจะมีความสัมพันธ์ในระดับเข้าพบ ก็จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษ กล่าวคือ จะต้องมีสัมพันธภาพทางจิตใจพร้อมกับจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆที่จำเป็นด้วย จึงจะถือเป็นการตระเตรียมโอกาสที่จะได้เข้าพบท่าน(อ.) ...
  • เพราะสาเหตุใดอัลกุรอานอ่านจึงมิได้ถูกรวบรวมตามการถูกประทานลงมา
    8299 วิทยาการกุรอาน 2557/01/22
    ไม่มีคำสั่งหรือรายงานใดจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เกี่ยวกับการรวบรวมอัลกุรอาน ตามการประทานลงมามาถึงพวกเรา การรวบรวมอัลกุรอานได้ถูกกระทำลงไปหลายขั้นตอนด้วยกัน ท่านอิมามอะลี (อ.) เป็นผู้รวบรวมอัลกุรอานตามการประทานลงมา แต่ในที่สุดอัลกุรอานที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นการรวบรวมโดยเหล่าบรรดาสากวก โดยได้รับความเห็นชอบจากบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ว่าสมบูรณ์ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60329 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57870 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42429 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39693 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39091 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34178 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28213 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28156 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28084 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26035 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...