การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6589
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/11/09
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1387 รหัสสำเนา 18281
คำถามอย่างย่อ
อะฮ์ลิสซุนนะฮ์จะต้องเชื่อเช่นไรจึงจะถือว่าเป็นชีอะฮ์แล้ว?
คำถาม
พี่น้องอะฮ์ลิสซุนนะฮ์จะต้องปรับตัวและยอมรับความเชื่ออย่างไรจึงจะถือว่าเป็นชีอะฮ์แล้ว?
คำตอบโดยสังเขป
ชีอะฮ์และซุนหนี่มีความเชื่อและหลักปฏิบัติที่คล้ายคลึงกันมากมาย อาจมีบางประเด็นที่เห็นต่างกัน ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างชีอะฮ์กับซุนหนี่ก็คือประเด็นปัญหาเกี่ยวกับหลักอิมามัตและภาวะผู้นำของบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ของนบี(..) พี่น้องซุนหนี่จะรับสายธารชีอะฮ์ได้ก็ต่อเมื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อประเด็นอิมามัตเสียก่อน ทั้งนี้ก็เนื่องจากชีอะฮ์เชื่อว่าหากไม่นับรวมสถานภาพการรับวะฮีย์แล้ว บรรดาอิมามมะอ์ศูมก็จะมีสถานะใกล้เคียงท่านนบี(..) ชีอะฮ์เชื่อว่าบุคคลเหล่านี้ได้รับการแต่งตั้งจากอัลลอฮ์ และเป็นศูนย์กลางทางศาสนา(พิทักษ์และเผยแผ่ศาสนาและอรรถาธิบายอัลกุรอาน) อีกทั้งยังมีอำนาจต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เป็นนักปกครองและแกนกลางของสังคม มีความชอบธรรมในการพิพากษา และมีความรอบรู้เหนือผู้ใด ชีอะฮ์เชื่อว่าจะต้องปฏิบัติตามบุคคลเหล่านี้เท่านั้น แต่เป็นที่น่าเสียดายว่ามัซฮับอื่นๆกลับไม่ได้เชื่อเช่นนี้ เพียงแต่ยอมรับว่าจะต้องรักอิมามมะอ์ศูม และยกย่องในสถานะนักรายงานฮะดีษที่เชื่อถือได้เท่านั้น
แท้ที่จริงแล้ว ฮะดีษของซุนหนี่นอกจากจะพิสูจน์ได้ถึงความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์ ยังสามารถพิสูจน์ถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามอะฮ์ลุลบัยต์(.)โดยดุษณี
ประเด็นหลักที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างชีอะฮ์และซุนหนี่ก็คือประเด็นดังกล่าว และช่องว่างระหว่างชีอะฮ์และซุนหนี่ก็คือประเด็นอิมามัตนั่นเอง
คำตอบเชิงรายละเอียด

ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างชีอะฮ์กับมัซฮับอื่นๆก็คือประเด็นปัญหาเกี่ยวกับหลักอิมามัตและภาวะผู้นำของบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ของนบี(..) ต่อไปนี้เป็นความเชื่อโดยสังเขปของชีอะฮ์เกี่ยวกับประเด็นอิมามัต
1. ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมาม(.)สิบสองท่านที่ได้รับการระบุนามในฮะดีษนบี(..)[1] ปราศจากความผิดพลาด การหลงลืม ตลอดจนบาปกรรมทั้งมวล

2.  ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมามมะอ์ศูม(.) หากไม่นับสถานะการรับวะฮีย์แล้ว  มีสถานะเทียบเคียงท่านนบี(..)

3. ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมามมะอ์ศูม(.) มีอำนาจตักวีนี และมีอิทธิพลต่อปรากฏการณ์ธรรมชาติ

4 . ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมามมะอ์ศูม(.) เป็นนักปกครองทางการเมื่องและเป็นแกนกลางของสังคม

5. ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมามมะอ์ศูม(.) มีความชอบธรรมในการพิพากษา และวาญิบจะต้องปฏิบัติตามบุคคลเหล่านี้

6. ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมามมะอ์ศูม(.) มีความรู้มากที่สุด
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่ามัซฮับอื่นๆมิได้เชื่อเช่นนี้ เพียงแต่ยอมรับว่าจะต้องรักอิมามมะอ์ศูม และเชื่อถือเพียงในสถานะนักรายงานฮะดีษที่เชื่อถือได้เท่านั้น

คุณสมบัติสำคัญข้อหนึ่งของชีอะฮ์ก็คือ จะต้องเชื่อฟังท่านอิมามอลี(.)และอะฮ์ลุลบัยต์(.)โดยดุษณี หลักการนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง มีฮะดีษจากสายพี่น้องอะฮ์ลิสซุนนะฮ์มากมายระบุว่า อัลลอฮ์จะทรงยอมรับอะมั้ลอิบาดะฮ์ของมวลมนุษย์ต่อเมื่อพวกเขายอมรับภาวะผู้นำของท่านอิมามอลี(.)เท่านั้น[2]

8. ชีอะฮ์เชื่อว่าอิมามัตคือกิจของอัลลอฮ์ และบรรดาอิมามมะอ์ศูม(.)ทุกท่านล้วนได้รับการแต่งตั้งจากอัลลอฮ์(ผ่านท่านนบี)ทั้งสิ้น
ท่านนบี(..) กล่าวว่า "การมองใบหน้าอลี(.) และการระลึกถึงอลี(.)ถือเป็นอิบาดะฮ์  อีหม่านของบุคคลจะไม่ได้รับการยอมรับเว้นแต่จะสานมิตรภาพกับเขาและหลีกห่างศัตรูของเขา"[3]

นอกจากนี้ อุละมาอ์ฝ่ายซุนหนี่ยังรายงานอีกว่า
"
ท่านนบี(..)กล่าวว่า โอ้ อลี หากผู้ใดบำเพ็ญอิบาดัตยาวนานเท่าอายุขัยของนบีนู้ฮ์ และบริจาคทองเท่าภูเขาอุฮุด และมีอายุยืนยาวกระทั่งเดินเท้าไปทำฮัจย์ถึงพันครั้ง และถูกสังหารระหว่างเขาศ่อฟาและมัรวะฮ์ แต่ทว่าไม่ยอมรับวิลายะฮ์ของเธอ โอ้ อลี เขาจะไม่ได้สูดแม้กลิ่นอายและไม่มีวันได้เชยชมสวรรค์เป็นอันขาด"[4] นัยยะของฮะดีษบทนี้ก็คือ การยอมรับวิลายะฮ์ของอิมามอลี และการหลีกห่างศัตรูของท่าน นั้น ถือเป็นเงื่อนไขของการยอมรับ"อีหม่าน" (ซึ่งย่อมมาก่อนอะมั้ลอิบาดะฮ์)

หากต้องการทราบว่าวิลายะฮ์หมายถึงอะไร จำเป็นต้องพิจารณาคำๆนี้ในสำนวนโองการกุรอานที่กล่าวถึงท่านอิมามอลี(.) กุรอานกล่าวว่า "ผู้ปกครองเหนือสูเจ้ามีเพียงอัลลอฮ์ และเราะซู้ลของพระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธาที่ดำรงนมาซ และบริจาคทานขณะโค้งรุกูอ์"[5]
เป็นที่แน่ชัดว่าคำว่า "วะลีย์"ในโองการนี้มิได้แปลว่าเพื่อนหรือผู้ช่วยเหลือ ทั้งนี้ก็เพราะวิลายะฮ์ที่แปลว่ามิตรภาพและการช่วยเหลือนั้น หาได้จำกัดเฉพาะผู้ที่ดำรงนมาซโดยบริจาคทานขณะโค้งรุกูอ์ไม่ มิตรภาพระหว่างมุสลิมต้องมีอยู่ และมุสลิมทุกคน ไม่ว่าอยู่ในสถานะที่ต้องบริจาคทานหรือไม่ ก็ควรสานมิตรภาพซึ่งกันและกันอยู่แล้ว ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องเฉพาะเจาะจงผู้ที่บริจาคทานขณะโค้งรุกูอ์แต่อย่างใด

เพราะฉะนั้น "วะลีย์"ในบริบทของโองการดังกล่าวจึงหมายถึงการปกครอง การถือครอง และภาวะผู้นำทั้งทางกายและจิตใจเท่านั้น สังเกตุได้จากการที่วิลายะฮ์ดังกล่าวเชื่อมต่อเข้ากับวิลายะฮ์ของท่านนบี(..)ตลอดจนวิลายะฮ์ของอัลลอฮ์อย่างต่อเนื่องในประโยคเดียวกัน

ตำรับตำราฝ่ายซุนหนี่หลายเล่มบันทึกฮะดีษที่ระบุชัดเจนว่า โองการดังกล่าวมีเนื้อหาเกี่ยวกับท่านอิมามอลี(.) โดยฮะดีษบางบทสาธยายถึงรายละเอียดที่ว่าท่านบริจาคแหวน แต่บางบทก็มิได้ให้รายละเอียดใดๆ แต่กล่าวเพียงว่าโองการนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับท่านอิมามอลี(.)[6]

หากผู้ใดมีทัศนคติต่อประเด็นอิมามัตเสมือนชีอะฮ์ แน่นอนว่าวิถีชีวิตของเขาจะพลิกผันไปจากเดิม เขาจะไม่สอบถามปัญหาศาสนาจากคนทั่วไป จะไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติของตาสีตาสา แต่จะเชื่อฟังและภักดีต่ออิมามมะอ์ศูมีน(.)เท่านั้น

อย่างไรก็ดี แม้ผู้ดำเนินตามมัซฮับอื่นๆจะรักและให้เกียรติท่านอิมามอลี(.)และวงศ์วาน(อิมามมะอ์ศูม)เพียงใด แต่ทว่าวิลายะฮ์ตามความหมายที่สมบูรณ์อันตรงตามนัยยะของกุรอานและวจนะท่านนบี(..) มีการถือปฏิบัติในสายธารชีอะฮ์สิบสองอิมามเท่านั้น ทั้งนี้ มุสลิมทุกคนมีหน้าที่จะต้องเลือกเฟ้นแนวทางที่ใกล้เคียงวิถีของกุรอานและท่านนบี(..)มากที่สุด ฉะนั้น หากพี่น้องซุนหนี่เลื่อมใสในหลักการดังกล่าว ซึ่งก็คือการน้อมรับคำสอนของกุรอานและฮะดีษที่รณรงค์ให้ยอมรับวิลายะฮ์ทุกด้านของบรรดาอิมาม ไม่ว่าในแง่วิชาการก็ดี การเมืองก็ดี หรือทางศาสนาก็ตาม หากเป็นเช่นนี้ได้ ช่องว่างระหว่างอุมมัตอิสลามก็จะได้รับการเติมเต็ม

หากพิจารณาในหน้าประวัติศาสตร์จะพบว่ามุสลิมบางกลุ่มยึดแนว ก็อดรี บางกลุ่มยึดแนวตัฟวีฎี[7] การแบ่งก๊กแบ่งเหล่าเช่นนี้เกิดจากการหันห่างจากแนวทางของบรรดาอิมามทั้งสิ้น หาไม่แล้วความเชื่อผิดๆเหล่านี้ย่อมไม่เกิดขึ้นในหมู่มุสลิม อันจะส่งผลให้เกิดความเบี่ยงเบนเช่นนี้เป็นแน่

ฉะนั้น หากพี่น้องซุนหนี่เห็นพ้องกับความเชื่อของชีอะฮ์ในประเด็นอิมามัตและนำสู่ภาคปฏิบัติ ก็จะถือว่ารับสายธารชีอะฮ์แล้ว และแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องเรียนรู้ว่าอะฮ์ลุลบัยต์(.)มีคำสอนสำหรับการดำเนินชีวิตอย่างไรบ้าง และจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรในแง่ชะรีอัต.

หากต้องการศึกษาเพิ่มเติม กรุณาอ่านหนังสือ "ชีอะฮ์" (การเสวนาระหว่างศาสตราจารย์ อองรี กอร์บิง กับ อัลลามะฮ์ มุฮัมมัด ฮุเซน เฏาะบาเฏาะบาอี) และคำถามหมายเลข 1000



[1] บิฮารุลอันว้าร, เล่ม 36,หน้า 362

[2] มะนากิ๊บ คอรัซมี,หน้า 19, 252

[3] อ้างแล้ว, หน้า 19, 212 และ กิฟายะตุฏฏอลิบ, กันญี ชาฟิอี,หน้า 214, «... النظر الی وجه امیرالمؤمنین علی بن ابیطالب عبادة و ذکره عبادة ولایقبل الله ایمان عبد الا بولایته والبرائة من اعدائ

[4] " ثم لم یوالیک یا علی لم یشم رائحة الجنة ولم یدخلها"مناقب، خطیب خوارزمی ค่อฏี้บ คอรัซมี, มักตะลุ้ลฮุเซน(.), เล่ม 1, หน้า 37 

[5] ซูเราะฮ์มาอิดะฮ์, 55  انَّما وَلِیُّکُمُ اللَّهُ وَ رَسُولُهُ وَ الَّذِینَ آمَنُوا الَّذِینَ یُقِیمُونَ الصَّلاةَ وَ یُؤْتُونَ الزَّکاةَ وَ هُمْ راکِعُونَ

[6] ตัฟซี้ร เนมูเนะฮ์, เล่ม 4, หน้า 424,425

[7] ในยุคแรกเริ่มของอิสลาม อะฮ์ลิสซุนนะฮ์มีสองทัศนะหลักเกี่ยวกับการกระทำของมนุษย์ กลุ่มหนึ่งเชื่อว่าในเมื่อการกระทำของมนุษย์ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของอัลลอฮ์เสมอ จึงถือว่าการกระทำของมนุษย์ถูกกำหนดไว้แล้ว การตัดสินใจของมนุษย์จึงไม่มีคุณค่าใดๆ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งถือว่ามนุษย์มีอิสระที่จะเลือกกระทำ โดยไม่ติดพันอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้า จึงหลุดจากบ่วงก่อดัรของพระองค์
แต่ในคำสอนของอะฮ์ลุลบัยต์นบี(..)อันสอดคล้องกับตัวบทกุรอานนั้น มนุษย์มีเสรีภาพที่จะเลือกกระทำ ทว่าไม่มีอิสรภาพโดยสมบูรณ์ ทั้งนี้เพราะอัลลอฮ์จุติการกระทำของมนุษย์ให้เกิดขึ้นพร้อมกับเสรีภาพในการเลือกกระทำ กล่าวคือ อัลลอฮ์ได้บันดาลการกระทำของมนุษย์ขึ้นมาโดยกำหนดให้มีองค์ประกอบหลายประการ ซึ่งเสรีภาพของมนุษย์ในการเลือกกระทำก็คือหนึ่งในองค์ประกอบดังกล่าว ทำให้การกระทำนั้นๆจุติขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์ ขณะเดียวกัน มนุษย์ก็มีเสรีภาพในการเลือกด้วย
สรุปคือ การกระทำที่เกิดขึ้น ถือว่าจะ"ต้อง"เกิดขึ้นเนื่องจากครบองค์ประกอบแล้ว แต่หากมองจากมุมของมนุษย์ผู้กระทำ(ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบ) ก็จะมองได้ว่าเป็นการกระทำตามใจปรารถนาของมนุษย์
มุฮัมมัด ฮุเซน เฏาะบาเฏาะบาอี, ชีอะฮ์ในอิสลาม, หน้า 79
หนังสือที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
. มนุษยศึกษา, มะฮ์มู้ด เราะญะบี, บทที่ 5,6, สถาบันศึกษาและวิจัย อิมามโคมัยนี (.)
. บทเรียนปรัชญา, .มิศบาฮ์ ยัซดี, เล่ม 2, บทเรียนที่ 69, องค์กรเผยแพร่อิสลาม
. ความเที่ยงธรรมของพระเจ้า, .ชะฮีด มุรตะฎอ มุเฏาะฮะรี, สำนักพิมพ์อิสลามี

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • นามอันเป็นมักนูนและมุสตะอ์ษิ้รของอัลลอฮ์หมายความว่าอย่างไร?
    6982 รหัสยทฤษฎี 2554/10/23
    จากฮะดีษและบทดุอาทำให้ทราบว่าอัลลอฮ์มีพระนามที่ทรงคัดสรรด้วยพระองค์เองโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้พระนามเหล่านี้เรียกว่า"อัสมาอ์มุสตะอ์ษิเราะฮ์" ซึ่งตามคำบอกเล่าของฮะดีษพระนามเหล่านี้คือมิติเร้นลับของอิสมุลอะอ์ซ็อมอันเป็นพระนามแรกของพระองค์พระนามประเภทนี้ยังเรียกขานกันว่าอิสมุ้ลมักนูนหรืออิสมุ้ลมัคซูนอีกด้วย ...
  • เหตุใดอัลลอฮ์จึงทรงสร้างภูตผีปีศาจ ขณะเดียวกันก็ทรงตรัสว่าภูตผีเหล่านี้จะทำอันตรายได้ก็ต่อเมื่อทรงอนุมัติเท่านั้น?
    9354 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/11
    ญิน คือสิ่งมีชีวิตที่กุรอานกล่าวว่า “และเราได้สร้างญินจากไฟอันร้อนระอุก่อนการสรรสร้าง(อาดัม)” ญินจึงถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์ซึ่งต้องได้รับการชี้นำโดยบรรดาศาสดาเช่นกัน อีกทั้งมีหน้าที่ต้องบูชาพระองค์เสมือนมนุษย์ ญินจำแนกออกเป็นกลุ่มกาฟิรและกลุ่มมุสลิมตามระดับการเชื่อฟังพระบัญชาของอัลลอฮ์ ซึ่งอิบลีสที่ไม่ยอมศิโรราบแก่นบีอาดัมในยุคแรกก็เป็นญินตนหนึ่ง การทำอันตรายโดยการอนุมัติของพระองค์ในที่นี้ หมายถึงข้อเท็จจริงที่ว่าทุกๆพลังอำนาจที่มีอยู่ในโลกล้วนมาจากพระองค์ทั้งสิ้น แม้แต่อานุภาพความร้อนและคมมีดก็ไม่อาจทำอะไรได้หากพระองค์มิทรงยินยอม เป็นความคิดที่ผิดมหันต์หากจะเชื่อว่าจอมขมังเวทย์ทั้งหลายสามารถจะคานอำนาจของพระองค์ เนื่องจากไม่มีสิ่งใดจะสามารถกำหนดขอบเขตอำนาจของพระองค์ได้ กฏเกณฑ์เหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติและผลลัพท์ที่ทรงกำหนดแก่ทุกสรรพสิ่ง โดยมนุษย์บางคนใช้ประโยชน์ในทางที่ดี แต่ก็มีบางคนใช้ประโยชน์ในทางเสื่อมเสีย ...
  • บุตรีของมุสลิม บิน อะกีลมีชื่อว่าอะไร?
    7711 تاريخ کلام 2554/06/22
    หลังจากได้ศึกษาหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับชีวประวัติของท่านมุสลิมบินอะกีลเข้าใจได้ว่าท่านมุสลิมมีบุตรี 2 คนนามว่าอาติกะฮฺและฮะมีดะฮฺซึ่งอาติกะฮฺอยู่ในเหตุการณ์กัรบะลาอฺด้วยและเธอได้ชะฮีดในวันอาชูรอขณะศัตรูได้บุกโจมตีเต็นท์ต่างๆส่วนฮะมีดะฮฺได้ถูกจับตัวเป็นเชลยพร้อมกับเชลยแห่งกัรบะลาอฺซึ่งตระกูลของมุสลิมได้สืบเชื้อสายมาจากนาง ...
  • คำพูดทั้งหมดของพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นวะฮฺยูหรือไม่?
    7820 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ,ในประเด็นที่กำลังกล่าวถึงแตกต่างกันบางคนได้พิจารณาการตีความของโองการที่ 3,4 ของอัลกุรอานบทนัจมฺ[i]ซึ่งเชื่อว่าคำพูดทั้งหมดของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ตลอดจนการกระทำต่างๆของท่านมาจากวะฮฺยูทั้งสิ้นบางคนเชื่อว่าโองการที่ 4 ของบทอันนัจมฺนั้นกล่าวถึงอัลกุรอานกะรีมและบรรดาโองการต่างๆที่ประทานให้แก่ท่านศาสดา,แม้ว่าซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะเป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลก็ตามซึ่งคำพูดการกระทำและการนิ่งเฉยของท่านมิได้เกิดจากอารมณ์อย่างแน่นอนสิ่งที่เข้าใจได้จากสิ่งที่กล่าวถึงในตรงนี้คือสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าทั้งความประพฤติและแบบอย่างของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มิได้กระทำลงไปโดยปราศจากวะฮียฺอย่างแน่นอนดังเช่นคำพูดของท่านก็เป็นเช่นนี้ด้วยแม้ว่าจะเป็นคำพูดประจำวันคำพูดสามัญทั่วไปตลอดการดำรงชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็ตามสิ่งนั้นก็จะไม่เกิดจากอารมณ์อย่างเด็ดขาดซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะล่วงละเมิดกระทำความผิด[i]
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42465 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • สายรายงานของฮะดีษที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวแก่ชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า“พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เพื่อให้ยอมรับการประทานกุรอาน แต่ก่อนโลกนี้จะพินาศ พวกเขาจะรบกับพวกท่านเพื่อการตีความกุรอาน”เชื่อถือได้เพียงใด?
    7962 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/09/11
    ในตำราฮะดีษมีฮะดีษชุดหนึ่งที่มีนัยยะถึงการที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวกับชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า “พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เนื่องด้วยการประทานกุรอานแต่ก่อนโลกนี้จะพินาศพวกเขาก็จะรบกับพวกท่านเนื่องด้วยการตีความกุรอาน”สายรายงานของฮะดีษบทนี้เชื่อถือได้ ...
  • ความสัมพันธ์ระหว่างพระประสงค์ของพระเจ้ากับความต้องการของมนุษย์เป็นอย่างไร
    6894 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    มนุษย์คือการมีอยู่อยู่ประเภทที่เป็นไปได้หมายถึงแก่นแท้แห่งการมีอยู่ของมนุษย์นั้นมาจากพระเจ้าพระเจ้าทรงรังสรรค์มนุษย์ขึ้นมาด้วยเจตนารมณ์เสรีและพระประสงค์ของพระองค์และด้วยความพิเศษนี้เองพระองค์ได้ทำให้เขามีความสูงส่งกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วยเหตุนี้มนุษย์คือสรรพสิ่งมีอยู่ที่ดีที่สุดพระองค์ทรงวางกฎหมายและมอบให้มนุษย์เป็นผู้ที่พระองค์กล่าวถึงอีกทั้งทรงอนุญาตให้มนุษย์สามารถตัดสินใจได้เองว่าจะเชื่อฟังปฏิบัติตามหรือจะปฏิเสธอนุญาตให้มนุษย์เลือกและจัดการกับชะตากรรมของพวกเขาเองและนี่คือมนุษย์เขาสามารถเลือกในสิ่งดีงาม
  • การถูกสาปเป็นลิงคือโทษของผู้ที่จับปลาในวันเสาร์เพราะมีความจำเป็นหรืออย่างไร?
    13730 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/04/09
    ในเบื้องแรกควรทราบว่าการหาปลาประทังชีวิตมิไช่เหตุที่ทำให้บนีอิสรออีลส่วนหนึ่งถูกสาป เพราะการหาเลี้ยงชีพนอกจากจะไม่เป็นที่ต้องห้ามแล้ว ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของอิบาดะฮ์ในทัศนะอิสลามอีกด้วย ท่านอิมามศอดิก(อ.)กล่าวว่า “ผู้ที่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวเสมือนนักต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์” ฉะนั้น เหตุที่ทำให้พวกเขาถูกสาปจึงไม่ไช่แค่การจับปลา และนั่นก็คือสิ่งที่อัลลอฮ์กล่าวไว้ว่า “และเช่นนี้แหล่ะที่เราได้ทดสอบพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาฝ่าฝืน” สิ่งที่ช่วยยืนยันเหตุผลดังกล่าวก็คือ มีสำนวน اعتدوا และ یعدون (ละเมิด) ปรากฏในโองการที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ อันแสดงว่าพวกเขาถูกลงโทษเนื่องจากทำบาปและฝ่าฝืนพระบัญชาของพระองค์ ทำให้ไม่ผ่านบททดสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ การพักงานในวันเสาร์ถือเป็นหลักปฏิบัติถาวรของชนชาติยิวจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็มิได้เป็นการชี้โพรงให้นอนเอกเขนกด้วยความเกียจคร้านแต่อย่างใด แต่เนื่องจากโดยปกติแล้ว คนเราจะทำงานอย่างเต็มที่ตลอดสัปดาห์โดยไม่ไคร่จะสนใจอิบาดะฮ์ ความสะอาด ครอบครัว ฯลฯ เท่าที่ควร จึงสมควรจะสะสางหน้าที่เหล่านี้ในวันหยุดสักหนึ่งวันต่อสัปดาห์ การได้อยู่กับครอบครัวก็มีส่วนทำให้เกิดพลังงานด้านบวกที่จะกระตุ้นให้เริ่มงานในวันแรกของสัปดาห์อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้น การไม่ทำงาน (ที่เป็นทางการ) ในวันหยุด มิได้แสดงถึงความเกียจคร้านเสมอไป ...
  • มีฟัตวาเกี่ยวกับอาชีพที่สองไหม? หรือว่าการมีอาชีพที่สองเท่ากับเป็นคนหลงโลก?
    7657 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    ในทัศนะอิสลามไม่มีความหมายอันใดเกี่ยวกับอาชีพหรืออาชีพที่สอง, สิ่งที่ศาสนาอิสลามหรืออัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ประณามเอาไว้คือ, ความลุ่มหลงและจิตผูกพันอยู่กับโลกทำให้ห่างไกลจากศีลธรรมและปรโลก
  • การลงจากสวรรค์ของอาดัมหมายถึงอะไร?
    9318 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/10/22
    คำว่า “ฮุบูต” หมายถึงการลงมาด้านล่างจากที่สูง (นุซูล) ตรงกันข้ามกับคำว่า สุอูด (ขึ้นด้านบน), บางครั้งก็ใช้ในความหมายว่าหมายถึงการปรากฏในที่หนึ่งการวิพากถึงการลงมาของศาสดาอาดัม และความหมายของการลงมานั้น อันดับแรกขึ้นอยู่กับว่า สวรรค์ที่ศาสดาอาดัมอยู่ในตอนนั้นเราจะตีความกันว่าอย่างไร? สวรรค์นั้นเป็นสวรรค์บนโลกหรือว่าสวรรค์ในปรโลก? สิ่งที่แน่ชัดคือมิใช่สวรรค์อมตะนิรันดร์, ดังนั้นการลงมาของศาสดาอาดัม, จึงเป็นการลงมาในฐานะของฐานันดร, กล่าวคือวัตถุประสงค์ของอาดัมที่ลงจากสวรรค์, หมายถึงการขับออกจากสวรรค์ การกีดกันจากการใช้ชีวิตในสวรรค์ (สวรรค์บนพื้นโลก) การใช้ชีวิตบนพื้นโลก การดำเนินชีวิตไปพร้อมกับการเผชิญกับความยากลำบาก ดังที่อัลกุรอานหลายโองการได้กล่าวถึงไว้ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60367 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57921 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42465 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39742 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39121 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34225 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28269 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28197 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28134 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26074 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...