การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10413
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/04/07
คำถามอย่างย่อ
ถ้าหากมุสลิมคนหนึ่งหลังจากการค้นคว้าแล้วได้ยอมรับศาสนาคริสต์ ถือว่าตกศาสนาโดยกำเนิด และต้องประหารชีวิตหรือไม่?
คำถาม
ถ้าเป็นผู้นิยมการค้นคว้าวิจัยอย่างแท้จริง และหลังงานวิจัยได้บทสรุปว่า ศาสนาของศาสดาอีซามะซีฮฺ, มีความสมบูรณ์ยิ่งกว่าศาสนาอิสลาม และได้ออกนอกอิสลามไป บุคคลเช่นนี้ต้องถูกประหารชีวิตหรือไม่ สมมุตว่าเขาตกศาสนาโดยกำเนิด?
คำตอบโดยสังเขป

แม้ว่าศาสนาอิสลามอันชัดแจ้งได้เชิญชวนมนุษย์ทั้งหมดไปสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ, แต่ก็มิได้หมายความว่าบังคับให้ทุกคนต้องยอมรับเช่นนั้น, เนื่องจากอีมานและความเชื่อศรัทธาต้องไม่เกิดจากการบีบบังคับ, แน่นอน แต่สิ่งนี้ก็มิได้หมายความว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ขัดแย้งต่อรากหลักของศาสนา, เนื่องจากรากหลักของอิสลามวางอยู่บน หลักความเป็นเอกภาพของพระเจ้า และปฏิเสธการตั้งภาคีเทียบเทียมโดยสิ้นเชิง, และในทัศนะของอิสลามบุคคลใดที่ยอมรับอิสลามแล้ว และเจริญเติบโตขึ้นมาในครอบครัวอิสลาม, ต่อมาเขาได้ปฏิเสธรากศรัทธาของอิสลาม และเป็นปรปักษ์ซึ่งปัญหาความเชื่อส่วนตัวได้ลามกลายเป็นปัญหาสังคม และได้เผชิญหน้ากับศาสนา หรือสร้างฟิตนะฮฺ (ความเสื่อมทราม) ให้เกิดขึ้นทางความคิดของสังคมส่วนรวม และบังเกิดความลังเลใจในการตัดสินใจระหว่างสิ่งถูกกับสิ่งผิด, เท่ากับเขากลายเป็นอาชญากรของสังคม ดังนั้น จำเป็นต้องแบกรับบทลงโทษที่ได้ก่อขึ้น

บทลงโทษของบุคคลที่ออกนอกศาสนาโดยกำเนิด ก็เนื่องจากเหตุผลที่ว่าเขาเป็นอาชญากร กระทำความผิดให้เกิดแก่สังคม มิใช่เพราะความผิดส่วนตัว ด้วยเหตุนี้เอง การลงโทษบุคคลที่ตกศาสนา จะไม่ครอบคลุมถึงบุคคลที่ออกนอกศาสนาไปแล้ว, แต่ไม่ได้เปิดเผยให้เกิดความเสียหายแก่คนอื่น

อีกนัยหนึ่ง, สมมุติว่าบุคคลหนึ่งได้พยายามทุ่มเทค้นคว้าหาความจริงด้วยตัวเองว่า ฉะนั้น การตกศาสนาของเขาย่อมได้รับการอภัย ณ อัลลอฮฺ, แน่นอนว่า บุคคลเช่นนี้ในแง่ของบทบัญญัติส่วนตัวเขามิได้กระทำความผิดแต่อย่างใด, แต่ถ้าเขาเพิกเฉยต่อการค้นคว้าหาความจริงละก็ ในแง่ของบทบัญญัติที่ว่าด้วยเรื่องส่วนตัวถือว่า เขาได้กระทำผิด, ส่วนการตกศาสนานั้นไม่ถือว่าเป็นความผิดส่วนตัว เนื่องจากการออกนอกศาสนานั้น เท่ากับได้ทำลายจิตวิญญาณศาสนาของสังคมไปจนหมดสิ้นแล้ว นอกจากนั้นยังได้ทำลายและเป็นการคุกคามความสำรวมของประชาชน ที่มิใช่นักปราชญ์หรือผู้เชี่ยวทางศาสนาอีกด้วย

ในยุคแรกของอิสลาม ศัตรูอิสลามกลุ่มหนึ่งได้พยายามวางแผนการณ์ โดยเปลือกนอกแสร้งทำเป็นยอมรับอิสลาม ต่อมาได้ออกนอกศาสนา เพื่อว่าการกระทำของพวกเขาจะได้ทำให้ความศรัทธาของประชาชนเกิดความอ่อนแอลง

อิสลามต้องการปกป้องภัยคุกคามเหล่านี้, จึงได้วางบทลงโทษที่หนักหน่วงสำหรับผู้ที่ออกนอกศาสนาเอาไว้, แม้ว่าการพิสูจน์ความจริงเหล่านั้นจะยากลำบากก็ตาม, ดังนั้น จะเห็นว่ามีคนบางกลุ่มในยุคแรกของอิสลามที่ได้รับการลงโทษดังกล่าว, ด้วยเหตุนี้ จะเห็นว่าในแง่ของจิตวิทยาการลงโทษดังกล่าวมีผลเกินตัว, และสามารถสร้างบรรยากาศที่สมบูรณ์สำหรับสังคมส่วนรวมได้, ฉะนั้น การลงโทษผู้ตกศาสนา, จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่โน้มน้าวบุคคลที่มิใช่มุสลิม ให้สนใจอิสลามมากยิ่งขึ้น, และยังช่วยปกป้องความอ่อนแอของอีมาน

คำตอบเชิงรายละเอียด

แม้ว่าศาสนาอิสลามอันชัดแจ้งได้เชิญชวนมนุษย์ทั้งหมดไปสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ, แต่ก็มิได้หมายความว่าบังคับให้ทุกคนต้องยอมรับเช่นนั้น, เนื่องจากอีมานและความเชื่อศรัทธาต้องไม่เกิดจากการบีบบังคับ,[1]แน่นอนว่า คำสั่งนี้มิได้เป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลหนึ่งตั้งตนเป็นปรปักษ์กับรากหลักของศาสนา, กล่าวคือถ้าหากบุคคลหนึ่งยอมรับอิสลามแล้ว และเติบโตขึ้นมาภายในครอบครัวที่เคร่งครัดศาสนา แต่ต่อมาเขาได้ปฏิเสธรากหลักศรัทธาประการหนึ่ง แล้วต่อต้านซึ่งผลจากความเชื่อส่วนบุคคล ได้ลามไปสู่สังคม และนำไปสู่การต่อต้านศาสนา หรือสร้างความเสื่อมทรามทางความคิดแก่สังคม ซึ่งทำให้เกิดความลังเลใจในการจำแนกสิ่งถูกกับสิ่งผิด, เท่ากับเขาได้ก่ออาชญากรรมทางสังคม ดังนั้น จำเป็นต้องถูกลงโทษอย่างสาหัส[2]

กล่าวคือ การลงโทษคนที่ออกนอกศาสนาอันเนื่องมาจาก เขาได้ก่ออาชญากรรมทางสังคม แม้ว่าบุคลลดังกล่าวได้พยายามศึกษาค้นคว้าหาความจริงแล้วก็ตาม ก็ต้องได้รับการลงโทษ เพียงแต่ว่าการตกศาสนาของเขาจะได้รับการอภัย ณ อัลลอฮฺ, และตามความเป็นจริงแล้วในขอบข่ายของบทบัญญัติส่วนตัวเขาไม่ใช่อาชญากรก็ตาม

สำหรับความชัดแจ้งในคำตอบ, จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นดังต่อไปนี้ :

ประเด็นที่ 1 : ผู้ออกนอกศาสนา (มุรตัด) คือใคร?

มุรตัด หมายถึงบุคคลที่ได้ออกนอกอิสลามไปแล้ว, และเลือกการปฏิเสธศรัทธาแทน[3] ได้ออกนอกอิสลามพร้อมกับปฏิเสธรากหลักของศาสนา, หรือปฏิเสธหลักศรัทธาข้อใดข้อหนึ่ง (ความเป็นเอกะของพระเจ้า, นบูวัต, และมะอาด) หรือปฏิเสธข้อบังคับของศาสนา –ซึ่งข้อบังคับดังกล่าวนั้นเป็นที่ชัดเจนสำหรับมุสลิมทั้งหลาย- ในลักษณะที่ว่า เป็นการปฏิเสธสาส์นของศาสดาด้วย และตัวของเขาเองก็ใส่ใจต่อสิ่งดังกล่าว ดังนั้น จึงถือว่าเขาออกนอกศาสนาไปแล้ว[4]

การออกนอกศาสนาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ :

มุรตัดฟิฏรียฺ : หมายถึงบุคคลหนึ่งขณะที่บิดามารดได้ร่วมหลับนอน และเกิดปฏิสนธิขึ้นระหว่างนั้น โดยที่ทั้งสองอยู่ในสภาพของมุสลิม และตัวของเขาหลังจากบรรลุนิติภาวะตามศาสนบัญญัติแล้ว ได้ประกาศตนเป็นมุสลิม, หลังจากนั้นได้ออกนอกอิสลาม[5]

มุรตัดมิลลี : หมายถึงบุคคลที่บิดามารดาของเขาขณะปฏิสนธิมิได้เป็นมุสลิม หรือเป็นกาเฟร, และหลังจากบรรลุศาสนภาวะแล้วเขาได้ประกาศว่าเป็นกาฟิร หลังจากนั้นได้ยอมรับอิสลาม, แต่ต่อมาได้กลับไปเป็นกาฟิรอีกครั้งหนึ่ง[6]

ประการที่ 2: บทบัญญัติของมุรตัดในศาสนาแห่งพระเจ้าและศาสนาอิสลาม

ตามหลักการฟิกฮฺของชีอะฮฺ, มุรตัดมีบทบัญญัติบางประการด้านแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเรื่อง ทรัพย์สมบัติและคู่ครอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว บทบัญญัตินี้ยังมิได้ถูกถามถึง, บทลงโทษเกี่ยวกับมุรตัดคือ : บุรุษที่ตกมุรตัดโดยกำเนิด ต้องถูกประหารชีวิต การลุแก่โทษของเขา ณ ผู้พิพากษาไม่ถูกยอมรับ, ส่วนมุรตัดมิลลี อันดับแรกจะเชิญชวนในลุแก่โทษก่อน, กรณีที่เขาได้ลุแก่โทษจะได้รับอิสรภาพ, แต่ถ้าไม่เขาก็จะถูกประหารชีวิตเช่นกัน, สตรีที่ตกมุรตัด,ไม่ว่าจะเป็นมุรตัดฟิฏรียฺหรือมิลลีก็ตาม จะไม่ถูกประหารชีวิต ทว่าจะได้รับการเชิญชวนไปสู่การลุแก่โทษ, ถ้าเธอได้ลุแก่โทษก็จะได้รับอิสรภาพ, แต่ถ้าไม่จะถูกจำคุก[7]

ส่วนหลักฟิกฮฺของฝ่ายซุนนียฺ ตามทัศนะส่วนใหญ่, มุรตัด –ทุกประเภท- อันดับแรกจะเชิญชวนไปสู่การลุแก่โทษ, ถ้าหากได้ลุแก่โทษเขาจะได้รับอิสรภาพ, แต่ถ้าไม่จะถูกประหารชีวิตโดยไม่มีความแตกต่างกันระหว่าง มุรตัดฟิฏรียฺหรือมิลลี, ชายหรือหญิง[8]

การออกนอกศาสนาในศาสนาอื่นแห่งฟากฟ้า ที่นอกเหนือจากอิสลามถือว่าเป็นอาชญากรรมและได้ทำบาปอย่างใหญ่หลวง ซึ่งบทลงโทษคือ ความตาย[9]

ด้วยเหตุนี้ สามารถกล่าวได้ว่า มุรตัด ในทุกศาสนาถือว่าเป็น อาชญากรรมและเป็นบาป ซึ่งมีบทลงโทษคือความตาย (เพียงแต่แตกต่างกันในเรื่องเงื่อนไข)

ประการที่ 3 : ปรัชญาของการลงโทษมุรตัด

เพื่อความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับปรัชญาการลงโทษ มุรตัด จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นดังต่อไปนี้ :

1.บทบัญญัติอิสลาม แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ กล่าวคือ ปัจเจกบุคคล และสังคมส่วนรวม, แน่นอน บทบัญญัติที่เกี่ยวกับสังคมนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเหมาะสม สถานภาพ และความถูกต้องทางสังคม, บางครั้งการเติมเต็มสถานภาพดังกล่าว, จำเป็นต้องจำกัดอิสรภาพส่วนตัวให้ลดน้อยลง, ซึ่งประเด็นนี้ไม่มีสังคมใดบนโลกนี้สามารถปฏิเสธได้

2.บุคคลที่เป็น มุรตัด ถ้าหากได้พยายามศึกษาค้นคว้าหาความจริงด้วยตัวเองแล้ว, การเป็นมุรตัดของตน ณ อัลลอฮฺ ย่อมได้รับการอภัย, และในแง่ของบทบัญญัติส่วนตัวเขามิได้กระทำความผิดอันใดทั้งสิ้น[10] แต่ถ้าเขาเพิกเฉยหรือไม่ใส่ใจต่อการศึกษาค้นคว้าหาความจริงแล้วละก็, ในแง่ของบทบัญญัติส่วนตัวก็ถือว่าเขามีความผิดเช่นกัน

เมื่อใดก็ตามบุคคลที่เป็น มุรตัด ได้เผยแผ่การออกนอกศาสนาของตนไปสู่สังคม, ความประพฤติของเขาก็จะเข้าไปสู่บทบัญญัติของสังคมส่วนรวม ดังนั้น เงื่อนไขของบัญญัติที่ว่าด้วยสังคมส่วนรวม ก็จะถูกนำมาปฏิบัติกับเขา ในกรณีนี้ถือว่าเขาเป็น อาชญากร เนื่องจาก :

ประการแรก : เขาได้ทำลายสิทธิของบุคคลอื่น, เนื่องจากเขาได้สร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้เกิดขึ้นในความคิดของคนอื่น ก่อให้เกิดความลังเลสองจิตสองใจ ฉะนั้น เป็นที่ชัดเจนว่าการสร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้เกิดขึ้น ในความคิดของส่วนรวมเป็นสาเหตุทำให้จิตวิญญาณและอีมานของสังคม บังเกิดความอ่อนแอ ขณะที่การวิจัยเรื่องข้อสงสัยต่างๆ อยู่ในความสามารถของผู้มีความเชี่ยวชาญด้านศาสนาเท่านั้น, ซึ่งสังคมส่วนใหญ่แม้ว่าจะมีศาสนา แต่ก็มิได้มีศักยภาพเพียงพอต่อการค้นคว้า และพวกเขามีสิทธิอยู่ในสังคมที่มีความเข้มแข็งและสมบูรณ์

ประการที่สอง : เป็นที่แน่นอนว่า การปกป้องจิตวิญญาณและความเชื่อศรัทธาของสังคม เป็นสิทธิของประชาชนทุกคน, ซึ่งอิสลามถือว่าสิ่งนั้นเป็นความเหมาะสมของสังคม ด้วยเหตุนี้ จึงได้รับการสนับสนุนอย่างดีว่าสิ่งนั้นเป็นสัญลักษณ์ของศาสนา[11] ซึ่งมีการห้ามปรามไว้ว่ามิให้ทำลายสิ่งนั้น[12]

สุดท้ายผู้ที่ออกนอกศาสนาบางที่ในทัศนะของบทบัญญัติปัจเจกชน อาจจะไม่ใช่อาชญากร, แต่ในแง่ของสังคมเขาคืออาชญากรก็ได้

3.เนื่องจากผู้ที่เป็นมุรตัดถือว่าเป็น อาชญากร,ฉะนั้น ปรัชญาการลงโทษพวกเขาจึงสามารถอธิบายได้ดังนี้

ก) พวกเขาสมควรได้รับการลงโทษ : บทลงโทษผู้เป็นมุรตัด, เป็นการลงโทษไปตามช่องว่างของจริยธรรมที่เขาได้ก่อขึ้น,กล่าวคือ ช่องว่างในแง่จริยธรรมศาสนาเกิดขึ้นมากเท่าใด หรือเป็นการทำลายสิทธิทางสังคมมากเท่าใด บทลงโทษก็จะหนักขึ้นไปตามนั้น, เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนว่าสังคมใดก็ตาม จิตวิญญาณของศาสนาอ่อนแอลง สังคมก็จะยิ่งห่างไกลจากความเจริญผาสุกอันแท้จริงมากเท่านั้น แม้ว่าในแง่ของเทคโนโลยีจะพัฒนาล้ำหน้าไปไกลแล้วก็ตาม ด้วยเหตุนี้เอง นอกจากจะออกนอกศาสนาแล้ว ทุกการกระทำที่ทำให้ความเชื่อศรัทธาและอีมานของสังคม อ่อนแอลงเขาผู้นั้นต้องได้รับการลงโทษอันสาหัส, เช่น การด่าประจารท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) หรืออิมาม (อ.) เป็นต้น เนื่องจากเมื่อใดก็ตามความศักดิ์สิทธิ์ของสังคมถูกทำลายลง ความบิดเบือนทางศาสนา และความหายนะก็จะเปิดกว้างขึ้น

ข) ป้องกันการเผยแผ่การออกนอกศาสนา โดยบุคคลที่เป็นมุรตัด: ตรงนี้บุคคลที่เป็นมุรตัด ตราบที่เขามิได้เผยแผ่หรือประกาศการออกนอกศาสนาของตน เท่ากับเขายังมิได้ก่อความผิดแก่สังคม, ฉะนั้น การลงโทษอันหนักหน่วงที่อิสลามได้กำหนดไว้สำหรับ บุคคลที่ออกนอกศาสนา ก็เพื่อปิดกั้นการเผยแผ่ความเป็นมุรตดของเขา

ค) เป็นเครื่องของการให้ความสำคัญต่อศาสนาในสังคม : ขบวนการกฎหมายและการลงโทษของสังคม ได้ร่างขึ้นมากฎขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่า ภารกิจใดมีความสำคัญมากกว่ากัน ฉะนั้น บทลงโทษสำหรับผู้ออกนอกศาสนาหนักหน่วงก็เนื่องจาก ต้องการรักษาจิตวิญญาณและความศรัทธาของสังคมให้เข้มแข็งต่อไป

ง) เพื่อเชิญชวนให้ใคร่ครวญในศาสนา,ก่อนที่จะยอมรับ: บทลงโทษผู้ออกนอกศาสนา, เป็นการกระตุ้นเตือนบุคคลที่มิใช่มุสลิมว่า ให้ใส่ใจ ใคร่ครวญ และพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะประกาศยอมรับอิสลาม แน่นอนว่าปัญหาดังกล่าวเป็นการป้องกันความศรัทธาที่เรรวน หรือความศรัทธาที่อ่อนแอหวั่นไหวไปตามสภาพ

จ) การลดหย่อนโทษอื่น : ในทัศนะของศาสนากล่าวว่า การลงโทษบนโลกนี้คือสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การลดหย่อนโทษในปรโลก, อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงมีเมตตายิ่งกว่าที่มนุษย์ได้คิดไว้ว่า สำหรับความผิดหนึ่งต้องได้รับโทษถึง 2 ครั้ง,รายงานได้บ่งบอกให้เห็นถึงประเด็นดังกล่าวว่า ในยุคแรกของอิสลามมีความเชื่อว่า การลงโทษบนโลกนี้จะทำให้การลงโทษในปรโลกถูกยกเลิกไป จึงได้มีการสนับสนุนให้ผู้กระทำผิดสารภาพและขอลุแก่โทษในความผิด

อย่างไรก็ตาม : แม้ว่าอย่างน้อยที่สุดการลงโทษบนโลกนี้จะช่วยลดหย่อนการลงโทษในปรโลกได้ ทว่าอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์อีกวิธีหนึ่งด้วยความการุณย์ของพระองค์ นั้นคือ การเตาบะฮฺหรือกลับตัวกลับใจด้วยความจริงใจ, ฉะนั้นถ้าหากผู้กระทำความผิดได้ลุแก่โทษด้วยความจริงใจ ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการลงโทษในโลกนี้ ความผิดของเขาก็จะได้รับการอภัย

4.ข้อระวังในการร่างกฎหมาย : บางที่ปรัชญาการลงโทษผู้เป็นมุรตัดได้ถูกสาธยายไปแล้ว และสิ่งที่กล่าวไว้ในอัลกุรอานเกี่ยวกับแผนการร้ายของชาวคัมภีร์[13] อาจจะไม่ครอบคลุมผู้เป็นมุรตัดทั้งหมดก็ได้ กล่าวคือ บุคคลที่เป็นมุรตัด มิเคยมีเจตนาที่จะชักจูง หรือมิมีเจตนาที่ทำลายความเชื่อของสังคม ประกอบการเป็นมุรตัดของเขา มิได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อของสังคม, แต่กระนั้นอิสลามก็มิได้ลดหย่อนการลงโทษแก่เขา สาเหตุของมันคืออะไร? อีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า ภารกิจหนึ่งซึ่งปรัชญาของการลงโทษมุรตัด มิได้ครอบคลุมเหนือเขา ดังนั้น แล้วเป็นเพราะสาเหตุใดที่อิสลามยังต้องลงโทษเขาอีก?

คำตอบ : ทุกตัวบทกฎหมายประเด็นของกฎหมายนั้น จะครอบคลุมกว้างมากกว่าปรัชญาของมัน ซึ่งเรียกสิ่งนั้นว่า ข้อควรระวังในการร่างกฎหมาย และสิ่งนี้ก็ด้วยเหตุผลนี้เอง จะขอกล่าวถึง 2 ประเด็นสำคัญที่สุดของกฎหมาย กล่าวคือ

ก) บางครั้งเงื่อนไข คือตัวกำหนดประเด็นหรือหัวข้อที่แท้จริง ไม่ใช่ในลักษณะที่ว่ามนุษย์สามารถรับผิดชอบในการแบ่งแยกสิ่งเหล่านั้นได้, เช่น ปรัชญาหลักของการห้ามจอดรถมอเตอร์ไซบนท้องถนน, ก็เพื่อควบคุมและจัดระบบการจลาจรในท้องถนน และปรัชญาของสิ่งนี้ก็เนื่องจากว่า ท้องถนนไม่เคยว่าง แต่ขณะเดียวกันตำรวจจลาจรจะห้ามจอดรถบนถนนตลอดไป เนื่องจากไม่สามารถมอบให้ประชาชนแบกรับความรับผิดชอบการจลาจรที่ติดขัดเช่นนั้นได้

ข) บางที่การให้ความสำคัญต่อกฎเกณฑ์ข้อหนึ่งนั้นก็มากมาย เนื่องจากผู้ร่างกฎเกณฑ์ได้ทำด้วยการระมัดระวัง วางขอบข่ายของประเด็นให้มีความกว้างขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนสามารถปฏิบัติตามกฎนั้นจริง เสมือนดังเช่น ค่ายทหาร, สิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารจำเป็นต้องห่างไกลจากสายตาประชาชน เพื่อจะได้อยู่เป็นความลับต่อไป แต่ทหารมีความระมัดระวัง เนื่องจากเป็นประเด็นสำคัญ จึงจัดตั้งเครื่องอำนายความสะดวก ให้ห่างไกลไปอีกหลายเท่าเพื่อจะได้มั่นใจในการเติมเต็มเป้าหมายของตน

ในการร่างกฎหมายอิสลามก็เช่นเดียวกัน 2 ประเด็นสำคัญตามกล่าวมา ได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญ ซึ่งอัลลอฮฺทรงกำหนดขอบเขตของหัวข้อของบทบัญญัติให้กว้างกว่า หัวข้อที่แท้จริงของปรัชญาของบทบัญญัติ เพื่อจะได้มั่นใจได้ว่าปรัชญาของสิ่งนั้นครอบคลุมทั่วทั้งหมดแล้ว

เพื่อการค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับปรัชญาการลงโทษในอิสลาม :

- ศึกษาได้จาก : ปรัชญาแห่งสิทธิ, กุดเราะตุลลอฮฺ โคสโรชาฮี-มุเฏาะฟา ดอนิช พะชู สถาบันการเรียนการสอนอิมามโคมัยนี, หน้า 210-222

- อัดล์ อิลาฮียฺ, ชะฮีด มุเฏาะฮะรียฺ, สำนักพิมพ์ซ็อดรอ

- ศึกษาได้จาก : การอธิบายความโองการ “ไม่มีการบังคับในศาสนา” ตัฟซีรอัลมีซาน เล่ม 2, หน้า 278, ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ, เล่ม 2, หน้า 360.

 


[1] ไม่มีการบีบบังคับในศาสนา, บทบะเกาะเราะฮฺ, 256.

[2] สำหรับการศึกษาเพิ่มเติม, โปรดดูได้จาก “ออเชะนอบอมะซอฮิบอิสลาม” (15) คำถามตอบตามทัศนะของสุนียฺและชีอะฮฺ, หน้า 116-117.

[3] อิมามโคมัยนี (รฎ.), ตะฮฺรีรุลวะซีละฮฺ, เล่ม 2, หน้า 366, อิบนุกุดามะฮฺ, อัลมุฆนี, เล่ม 10, หน้า 74.

[4] อิมามโคมัยนี (รฎ.), ตะฮฺรีรุลวะซีละฮฺ, เล่ม 1, หน้า 118.

[5] อิมามโคมัยนี (รฎ.), ตะฮฺรีรุลวะซีละฮฺ, เล่ม 2, หน้า 366, บางคนกล่าวว่า อิสลาม หนึ่งในบิดามารดาขณะเกิดคือเงื่อนไขสำคัญ (คูอียฺ,มะบานี ตะกัลป์ละมะฮฺ อัลมินฮาจญฺ เล่ม 2 หน้า 451) บางคนกล่าว่า การเผยอิสลามหลังจากบรรลุนิติภาวะตามศาสนบัญญัติ มิใช่เงื่อนไข (ชะฮีดซานี, มะซาลิก อัลอัฟฮาม, เล่ม 2, หน้า 451)

[6] อิมามโคมัยนี (รฎ.), ตะฮฺรีรุลวะซีละฮฺ, เล่ม 2, หน้า 336.

[7]อิมามโคมัยนี (รฎ.), ตะฮฺรีรุลวะซีละฮฺ, เล่ม 2, หน้า 494.

[8] อับดุรเราะฮฺมาน อัลญะซีรียฺ, อัลฟิกฮฺ อะลัลมะซาฮิบ อัลอัรบะอะฮฺ, เล่ม 5, หน้า 424, อบูฮะนะฟะฮฺ มีทัศนะเหมือนกับชีอะฮฺที่ว่ามีความแตกต่างกันระหว่างชายกับหญิง (อบูบักร์ อัลกาซานียฺ, บิดาอุซซะนาบิอ์, เล่ม 7, หน้า 135) ฮะซัน บัซรียฺ ไม่ยอมรับเรื่องการเชิญไปสู่การลุแก่โทษ (อิบนุกุดามะฮฺ, อัลมุฆนี, เล่ม 10, หน้า 76)

[9] โปรดศึกษาจาก สัญญาฉบับเก่า, สารการเดินทาง, บทที่ 13,คัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลภาษาฟารซียฺ วิลเลียม โคล, ดารุลซัลตะนะฮ์, ลอนดอน, คศ. 1856, หน้า 8-357, คัมภีรไบเบิล,ดารุล อัลมัชริก, เบรุต

[10] อัลลอฮฺตรัสว่า "لا يكلف اللَّه نفساً الّا وسعها" จะไม่ทรงบังคับชีวิตหนึ่งชีวิตใดนอกจากตามความสามารถของเขาเท่านั้น, (บะเกาะเราะฮฺ 286)

[11] อัลกุรอาน บทฮัจญฺ, 32.

[12] บทมาอิดะฮฺ, 2.

[13] บทอาลิอิมรอน, 72.

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ความต่างกิจกรรมของวิญญาณขณะนอนหลับ และสลบคืออะไร?
    16383 ปรัชญาอิสลาม 2555/09/29
    รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณขณะตื่นนอน กับการปฏิสัมพันธ์ขณะนอนหลับนั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ตามคำสอนของอิสลามจึงได้เรียกการนอนหลับว่า เป็นพี่น้องของความตาย วิทยาศาสตร์แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายขณะนอนหลับ แต่สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายขณะนอนหลับได้ บนพื้นฐานของการค้นคว้านั้นและการทำสอบพบว่ามนุษย์มีการนอนหลับในสองระดับ ด้วยนามว่า REM และ Non REM ซึ่งทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วการความฝันที่มักเกิดในระดับของ Non REM เกิดจากการหลับลึกซึ่งจะไม่อยู่ในความทรงจำ แต่เฉพาะการนอนหลับในระ REM เท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ ส่วนการสลบหมดสติเกิดจากการเบี่ยงเบนของวิญญาณ และเป็นการหลับที่ลุ่มลึกมาก ทำให้เขาไม่มีความทรงจำอันใดหลงเหลืออยู่ ...
  • ตักวาหมายถึงอะไร?
    17805 จริยธรรมทฤษฎี 2555/01/23
    ตักว่าคือพลังหนึ่งที่หยุดยั้งจิตด้านในซึ่งการมีอยู่ของมนุษย์คือสาเหตุของการมีพลังนั้นและพลังดังกล่าวจะพิทักษ์ปกป้องมนุษย์ให้รอดพ้นจากการกระทำความผิดฝ่าฝืนต่างๆความสมบูรณ์ของตักวานอกจากจะช่วยทำให้มนุษย์ห่างไกลจากความผิดบาปและการก่ออาชญากรรมต่างๆ
  • เหตุใดจึงเรียกอิมามฮุเซนว่าษารุลลอฮ์?
    7333 จริยธรรมทฤษฎี 2554/12/11
    ษารุลลอฮ์ให้ความหมายว่าการชำระหนี้เลือดแต่ก็สามารถแปลว่าเลือดได้เช่นกันตามความหมายแรกอิมามฮุเซนได้รับฉายานามนี้เนื่องจากอัลลอฮ์จะเป็นผู้ทวงหนี้เลือดให้ท่านแต่หากษารุลลอฮ์แปลว่า"โลหิตพระเจ้า" การที่อิมามได้รับฉายานามดังกล่าวเป็นไปตามข้อชี้แจงต่อไปนี้:1. "ษ้าร"เชื่อมกับ"อัลลอฮ์"เพื่อให้ทราบว่าเป็นโลหิตอันสูงส่งเนื่องจากเป็นการเชื่อมคำในเชิงยกย่อง2.มนุษย์ที่บรรลุสู่ความสมบูรณ์ในระดับใกล้ชิดทางภาคบังคับต่างก็เป็นหัตถาพระเจ้าชิวหาพระเจ้าและโลหิตพระเจ้าหมายถึงถ้าหากพระองค์ทรงประสงค์จะทำสิ่งใดมนุษย์ผู้นี้จะเป็นดั่งพระหัตถ์หากทรงประสงค์จะตรัสเขาจะเป็นดั่งชิวหาและหากพระองค์ทรงประสงค์จะพิทักษ์ศาสนาของพระองค์ด้วยโลหิตเขาจะเป็นดั่งโลหิตพระองค์อิมามฮุเซน(อ.)เป็นดั่งโลหิตพระองค์เนื่องจากโลหิตของท่านช่วยชุบชีวิตแก่ศาสนาของพระองค์เราเชื่อว่าความหมายแรกเป็นความหมายที่เหมาะสมกว่าแต่ความหมายที่สองก็เป็นคำธิบายที่น่าสนใจเช่นกันโดยเฉพาะหากเป็นผู้ที่อยู่ในแวดวงจาริกทางจิตอาจทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้งกว่า ...
  • อัลลอฮฺคือสาเหตุที่แท้จริงของการอธรรม และผู้อธรรมหรือ?
    11254 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/09/29
    สำหรับคำตอบคำถามเหล่านี้ จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญเหล่านี้ก่อน 1.รากที่มาของการอธรรมของผู้อธรรมทั้งหลาย สามารถสรุปได้ใน 4 ประเด็นดังนี้คือ 1.ความโง่เขลา 2. การเลือกสรร 3. ความประพฤติอันเลวทราม 4. ความอ่อนแอไร้สามารถ, แต่อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไม่ความอธรรมใดๆ ในพระองค์ ด้วยเหตุนี้ สำหรับพระองค์แล้วคือ ผู้ยุติธรรม ซึ่งเป็นหน่วยเนื้อเดียวกันกับความยุติธรรม และเนื่องจากพระองค์ทรงรอบรู้ และทรงยุติธรรม ภารกิจของพระองค์จึงวางอยู่บนความยุติธรรม และวิทยปัญญาเท่านั้น 2.อัลลอฮฺ ทรงสร้างมนุษย์มาในลักษณะเดียวกัน และได้ประทานแนวทางแห่งการชี้นำทางแก่พวกเขา และทั้งหมดมีสิทธิที่จะเลือกสรรด้วยตนเอง ซึ่งมีบางกลุ่มด้วยเหตุผลนานัปการ หรือมีปัจจัยหลายอย่างเป็นแรงจูงใจให้พวกเขาเลือกหนทางหลงผิด และการอธรรม บางกลุ่มพยายามต่อสู้ชนิดขุดรากถอนโคนการอธรรม ที่แฝงเร้นอยู่ในใจของตนเอง พวกเขามุ่งไปสู่หนทางแห่งการชี้นำ และความยุติธรรม พยามประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ตามรากที่มาของคำถามเหล่านี้ ล้วนมาจากความคิดที่ว่ามนุษย์ได้รับการบีบบังคับให้เป็นเช่นนั้น หรือที่เรียกว่าพรหมลิขิต ทั้งที่เหตุผลของพรหมลิขิตมิเป็นที่ยอมรับแต่อย่างใด เราเชื่อตามคำสอนของศาสนา ...
  • ท่านอับบาสอ่านกลอนปลุกใจว่าอย่างไรขณะกำลังนำน้ำมา
    8982 ชีวประวัตินักปราชญ์ 2554/12/25
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • ข้อแตกต่างระหว่างมะอ์นะวียัตในอิสลามและคริสตศาสนา
    6859 เทววิทยาใหม่ 2554/10/24
    คุณค่าของมะอ์นะวียัตของแต่ละศาสนาขึ้นอยู่กับคุณค่าของศาสนานั้นๆคำสอนของคริสตศาสนาบางประการขัดต่อสติปัญญาโดยที่ชาวคริสเตียนเองก็ยอมรับเช่นนั้นมะอ์นะวียัตที่ได้จากคำสอนเช่นนี้ก็ย่อมมีข้อผิดพลาดเป็นธรรมดาและนี่คือข้อแตกต่างหลักระหว่างมะอ์นะวียัตของอิสลามและคริสตศาสนากล่าวคือโดยพื้นฐานแล้วมะอ์นะวียัตของคริสต์ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้เมื่อพิจารณาถึงแหล่งเนื้อหาที่มีบางจุดขัดต่อสติปัญญาทำให้ไม่สามารถจะนำพาสู่ความผาสุกได้อย่างไรก็ดีสภาพมะอ์นะวียัตของตะวันตกในปัจจุบันย่ำแย่ไปกว่ามะอ์นะวียัตดั้งเดิมของคริสตศาสนาเสียอีกในขณะที่มะอ์นะวียัตของอิสลามนั้นได้รับอิทธิพลจากคำสอนจากวิวรณ์
  • ผู้มีญุนุบที่ได้ทำตะยัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ สามารถเข้ามัสยิดได้หรือไม่?
    6954 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/08
    ผู้ที่มีญุนุบที่อยู่ในเงื่อนไขที่สามารถทำตะญัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่นั้นหลังจากที่ได้ทำการตะยัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่แล้วก็สามารถเข้าไปในมัสยิดเพื่อร่วมทำนมาซญะมาอัตหรือฟังบรรยายธรรมได้ท่านอิมามโคมัยนีได้ให้คำตอบเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า: “ผลพวงทางด้านชาริอะฮ์ที่เกิดขึ้นจากการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่จะมีในกรณีการทำการตะยัมมุมทดแทนเช่นกันนอกจากกรณีการตะยัมมุมทดแทนด้วยเหตุผลที่จะหมดเวลานมาซมัรญะอ์ท่านอื่นๆก็มีทัศนะนี้เช่นเดียวกัน
  • ความสำคัญ และปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คืออะไร?
    7696 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/20
    สำหรับการติดตามผลอย่างมีนัยของการให้ความสำคัญและปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้:1. ...
  • กาสาบานต่อท่านศาสดาและอิมามในเดือนรอมฎอนคือ สาเหตุทำให้ศีลอดเสียหรือ?
    7299 สิทธิและกฎหมาย 2555/07/16
    การสาบาน มิใช่หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ศีลอดเสีย แต่ถ้าได้สาบานโดยพาดพิงสิ่งโกหกไปยังอัลลอฮฺ (ซบ.) ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และตัวแทนของท่านโดยตั้งใจ ซึ่งสาเหตุนี้เองที่กล่าวว่า เป็นการโกหกที่พาดพิงไปยังอัลลอฮฺ ศาสดา (ซ็อลฯ) และตัวแทนของท่าน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ศีลอดเสีย ส่วนคำสาบานต่างๆ ที่อยู่ในบทดุอาอฺไม่ถือว่าโกหก ทว่าเป็นการเน้นย้ำและอ้อนวอนให้ตอบรับดุอาอฺที่ขอต่ออัลลอฮฺ ซึ่งไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้ศีลอดเสียแต่อย่างใด ...
  • ปรัชญาของการมีทาสในอิสลามคืออะไร? อิสลามมีวิธีการจัดการกับสิ่งเหล่าอย่างไร?
    12116 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    ถูกต้องบทบัญญัติเกี่ยวกับ การแต่งงานกับทาส, การเป็นมะฮฺรัมกับทาส, สัญญาซื้อขาย (ข้อตกลงที่จะปล่อยทาสเป็นไท) และ ...ได้ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน, การมีทาสได้รับการยืนยันว่ามีจริงในสมัยของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) และต้นยุคอิสลาม แต่จำเป็นต้องกล่าวว่าอิสลามมีโปรแกรมที่ละเอียดอ่อน และมีกำหนดเวลาในการปลดปล่อยทาสให้เป็นไท ซึ่งบั้นปลายสุดท้ายของทั้งหมดเหล่านั้นคือ การได้รับอิสรภาพเป็นไททั้งสิ้น ดังนั้นการเผชิญหน้าของอิสลามกับปัญหาเหล่านี้ จำเป็นต้องกล่าวถึงประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้: 1-อิสลามมิเคยเริ่มต้นปัญหาเรื่องทาส 2-อิสลามถือว่าปัญหาชะตากรรม และความเจ็บปวดใจของทาสในอดีตที่ผ่านมาคือ ปัญหาความล้าหลังอันยิ่งใหญ่ของสังคม 3-อิสลามได้วางโครงการที่ละเอียดอ่อน เพื่อปลดปล่อยทาสให้เป็นไท, เนื่องจากครึ่งหนึ่งของพลเมืองในสมัยก่อนเป็นทาสทั้งสิ้น, พวกเขาไม่มีอิสรเสรีในการประกอบอาชีพการงาน, ไม่มีปัจจัยสำหรับการดำเนินชีวิตต่อไป.ถ้าหากอิสลามได้มีคำสั่งต่อสาธารณชนว่าให้ทั้งหมดปล่อยทาสให้เป็นไท, ซึ่งเป็นไปได้ว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาจะต้องสูญเสียชีวิต หรือไม่ชนส่วนใหญ่ก็จะต้องว่างงานไร้อาชีพ หิวโหย ถูกกีดกัน และพวกเขาต้องได้รับแรงกดดันจนกระทั่งเข้าทำร้ายและโจมตีในทุกที่ การประจัญบาน การนองเลือด และการทำลายกฎระเบียบของสังคมก็จะทวีความรุนแรงขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง อิสลามได้วางแผนการไว้อย่างละเอียด เพื่อดึงดูดสังคมให้ทาสเหล่านี้ได้รับอิสรภาพ และเป็นไทไปที่ละน้อย ซึ่งแผนการดังกล่าวมีองค์ประกอบหลายประการด้วยกัน ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60136 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57576 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42222 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39377 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38954 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34008 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28026 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27971 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27808 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25805 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...