การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10716
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/04/02
คำถามอย่างย่อ
เหตุใดจึงห้ามกล่าวอามีนในนมาซ?
คำถาม
ผู้รู้ฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์บางคนได้ชี้แจงการกล่าวอามีนในนมาซว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องเนื่องจากมีฮะดีษเศาะฮี้ห์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งไม่ขัดต่อฮะดีษอื่นๆที่มีเนื้อหาเชิงกว้างแต่อย่างใด ฉะนั้นจึงไม่อาจจะห้ามกล่าวอามีนได้ และถึงแม้ว่าฮะดีษสองกลุ่มจะขัดกันก็ตาม ฮะดีษที่อนุญาตให้กล่าวอามีนมีความน่าเชื่อถือกว่า (เราะชี้ด ริฎอ,มุฮัมมัด,ตัฟซี้ร อัลมะน้าร,เล่ม 1,หน้า 98) ชีอะฮ์มีทัศนะอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?
คำตอบโดยสังเขป

มีฮะดีษจากอะฮ์ลุลบัยต์ระบุว่าการกล่าวอามีนในนมาซไม่เป็นที่อนุมัติ และจะทำให้นมาซบาฏิล
โดยหลักการแล้ว ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ถึงการไม่เป็นที่อนุมัติ ทั้งนี้ก็เพราะการนมาซเป็นอิบาดะฮ์ประเภทหนึ่ง ซึ่งย่อมไม่สามารถจะเพิ่มเติมได้ตามใจชอบ ฉะนั้น หากไม่สามารถจะพิสูจน์การเป็นที่อนุมัติของส่วนใดในนมาซด้วยหลักฐานทางศาสนา ก็ย่อมแสดงว่าพฤติกรรมนั้นๆไม่เป็นที่อนุมัติ เพราะหลักเบื้องต้นในการนมาซก็คือ ไม่สามารถจะเพิ่มเติมใดๆได้ หลักการสงวนท่าที(อิห์ติยาฏ)ก็หนุนให้งดเว้นการเพิ่มเติมเช่นนี้ เนื่องจากเมื่อเอ่ยอามีนออกไป ผู้เอ่ยย่อมไม่แน่ใจว่านมาซจะยังถูกต้องอยู่หรือไม่ ต่างจากกรณีที่มิได้กล่าวอามีน

คำตอบเชิงรายละเอียด

ประเด็นการกล่าวอามีนในนมาซถือเป็นประเด็นที่มีความเห็นต่างกันระหว่างชีอะฮ์และซุนหนี่ เริ่มแรกเราจะนำเสนอทัศนะของผู้เห็นด้วยในเรื่องนี้พร้อมกับข้อวิพากษ์ที่อ้างอิงฮะดีษการนมาซของท่านนบี(ซ.ล.) หลังจากนั้นจึงจะนำเสนอทัศนะของฝ่ายชีอะฮ์

เนื่องจากปัญหาขัดแย้งในที่นี้เป็นเรื่องที่“อยู่ในการนมาซ” และเนื่องจากนมาซถือเป็นอิบาดะฮ์ประเภทหนึ่ง เราจึงขอเกริ่นเล็กน้อยดังต่อไปนี้
ก. ในอิสลาม อิบาดะฮ์ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นวาญิบ(ภาคบังคับ)และมุสตะฮับ(ภาคอาสา)ล้วนแล้วแต่เป็นบทบัญญัติที่ตายตัวทั้งสิ้น การปฏิบัติอิบาดะฮ์จะต้องปฏิบัติตามจำนวนและรูปแบบที่ศาสนากำหนดไว้เท่านั้น และไม่มีสิทธิจะเพิ่มเติมหรือตัดทอนส่วนใดได้เลย ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่มีสิทธิจะปรับเปลี่ยนรูปแบบอิบาดะฮ์ตามที่ตนเองเห็นสมควร ทั้งนี้ สภาวะดังกล่าวมิได้เฉพาะเจาะจงแต่เพียงการนมาซ แต่ครอบคลุมถึงอิบาดะฮ์ทุกประเภทอาทิเช่น การถือศีลอด การอาบน้ำนมาซ การตะยัมมุม ดุอามะอ์ษูเราะฮ์[1] ฯลฯ ด้วย[2]

ข. มุสลิมล้วนเชื่อว่า คำว่า“อามีน”นั้น มิได้เป็นส่วนหนึ่งของการนมาซ[3] ฉะนั้น ผู้ใดเชื่อว่าสามารถกล่าวคำนี้ในนมาซได้ จำเป็นต้องแสดงเหตุผลหักล้างและต้องพิสูจน์ทัศนะของตนด้วยหลักฐาน มิเช่นนั้นก็จะต้องถือว่าการกล่าวอามีนในนมาซเป็นบิดอะฮ์ เป็นฮะรอม และทำให้นมาซบาฏิล(โมฆะ) เนื่องจากหลักเบื้องต้นในเรื่องนี้คือการไม่สามารถกล่าวอามีนในนมาซได้

ตามทัศนะของนักวิชาการฮะดีษแล้ว ฮะดีษที่อนุญาตให้กล่าวอามีนได้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มด้วยกัน
หนึ่ง. ฮะดีษที่มีชื่ออบูฮุร็อยเราะฮ์อยู่ในสายรายงาน ดังฮะดีษต่อไปนี้
รายงานจากท่านนบี(ซ.ล.)ว่า “เมื่ออิมามญะมาอัตกล่าว “วะลัฎฎอลลีน”แล้ว พวกเธอก็จงกล่าว “อามีน”เถิด เพราะมวลมลาอิกะฮ์ต่างกล่าวอามีน ฉะนั้น ผู้ใดที่กล่าวอามีนพร้อมกับมวลมลาอิกะฮ์ บาปทั้งหมดของเขาจะได้รับอภัยโทษ” [4]

ฮะดีษประเภทนี้ถือว่าไม่น่าเชื่อถือ เหตุเพราะมีอบูฮุร็อยเราะฮ์เป็นผู้รายงาน[5]
ท่านอิมามอลี(อ.)เคยกล่าวถึงเขาว่า ألا إنّ أکذب الناس أو قال: أکذب الأحیاء علی رسول الله أبوهریرة الدئسي  จงรู้เถิด คนที่โป้ปดที่สุด (อีกรายงานหนึ่งกล่าวว่า: สิ่งมีชีวิตที่โป้ปดที่สุด) ต่อท่านนบี ก็คืออบูฮุร็อยเราะฮ์[6]

สอง. กลุ่มฮะดีษที่มีสายรายงานบรรจบถึงบุคคลเหล่านี้: ฮะมี้ด บิน อับดุรเราะฮ์มาน บิน อบี ลัยลา, อิบนิ อุดัย, อับดุลญับบ้าร บิน วาอิล, สุฮัยล์ บิน อบีศอลิฮ์, อะลา บิน อับดิรเราะฮ์มาน และ ฏ็อลฮะฮ์ บิน อัมร์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะจะเป็นนักรายงานฮะดีษ เนื่องจากฮะมี้ด บิน อับดุรเราะฮ์มาน บิน อบี ลัยลา มีความจำที่ไม่ดีพอและเฎาะอี้ฟ ส่วนอิบนิ อุดัยย์ก็ไม่เป็นที่รู้จัก อับดุลญับบ้าร บิน วาอิ้ลก็ไม่สามารถจะรายงานฮะดีษจากพ่อของตนได้ เนื่องจากถือกำเนิดหลังพ่อเสียชีวิตหกเดือน ซึ่งจะทำให้สายรายงานไม่ต่อเนื่อง ส่วนสุฮัยล์ บิน อบีศอลิฮ์ และ อะลา บิน อับดิรเราะฮ์มานนั้น อบูฮาตัมกล่าวว่า แม้ฮะดีษของพวกเขาจะถูกบันทึก ทว่าปราศจากความน่าเชื่อถือ ส่วนฏ็อลฮะฮ์ บิน อัมร์ ก็นับเป็นนักรายงานที่ถูกมองข้าม เนื่องจากมีฮะดีษที่ด้อยความน่าเชื่อถืออย่างยิ่ง[7]

จากการที่ฮะดีษนี้มีสายรายงานที่อ่อนแอและไม่น่าเชื่อถือพอ จึงไม่สามารถนำมาอ้างอิงใดๆได้ แต่ก็มีบางคนที่พยายามจะชี้แจงการกล่าวอามีนในนมาซว่า เป็นการกล่าวตอบ “อิฮ์ดินัศศิรอฏ็อลมุสตะกีม”ซึ่งเป็นประโยคดุอา

ขอตอบว่า ประโยคดังกล่าวสามารถจะเป็นดุอาได้ต่อเมื่อเจตนาอ่านให้เป็นดุอา แต่โดยทั่วไปแล้ว ผู้อ่านย่อมมีเจตนาอัญเชิญกุรอาน มิไช่อ่านดุอา มิเช่นนั้นแล้ว หากจะอ่านทุกโองการที่เป็นดุอา อาทิเช่น رَبَّنَا اغْفِرْ لَنا وَ قِنا عَذابَ النَّار โดยเจตนาอ่านเป็นดุอา ก็ย่อมจะสามารถกล่าวอามีนได้ทุกครั้งไช่หรือไม่ ซึ่งไม่มีผู้รู้ท่านใดมีทัศนะเช่นนี้[8]

ยิ่งไปกว่านั้น ต้องคำนึงเสมอว่าการนมาซถือเป็นอิบาดะฮ์ประเภทหนึ่งซึ่งย่อมเป็นบทบัญญัติที่ตายตัว สมมติว่าเราสามารถอ่านอิฮ์ดินัสฯโดยเหนียตเป็นดุอาได้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถจะกล่าวอามีนได้ ทั้งนี้ก็เพราะการเพิ่มเติมหรือลดทอนส่วนหนึ่งส่วนใดของศาสนกิจ(อิบาดะฮ์)ถือเป็นบิดอะฮ์(อุตริกรรม) และเป็นสิ่งต้องห้าม เนื่องจากคำว่าอามีนมิไช่โองการกุรอาน และไม่ไช่ดุอาหรือซิเกรแต่อย่างใด ฉะนั้นจึงควรปฏิบัติเสมือนคำอื่นๆที่มิไช่กุรอานและซิกรุลลอฮ์

วจนะของท่านนบี(ซ.ล.)ที่ว่า “มิบังควรที่จะเพิ่มเติมคำพูดของบุคคลทั่วไปในนมาซ”[9] ถือเป็นการระงับมิให้กล่าวอามีน เพราะอามีนคือคำพูดของมนุษย์ มิไช่อัลลอฮ์ และหากจะโต้แย้งว่า “อามีน”คือพระนามหนึ่งของอัลลอฮ์ คงต้องชี้แจงว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง เราคงพบคำนี้ในหมู่พระนามของพระองค์ และสามารถวิงวอนได้ว่า “ยา อามีน” ในขณะที่ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าคำนี้เป็นพระนามหนึ่งของพระองค์เลย[10]

การนมาซของท่านนบี(..)
ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า ซุนนะฮ์ (วจนะ, พฤติกรรม, การวางเฉย)ของท่านนบี(ซ.ล.)ถือเป็นแหล่งอ้างอิงทางศาสนา ฉะนั้น หากพิสูจน์ได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งว่าท่านนบีเคยมีซุนนะฮ์เช่นนี้ เราทุกคนย่อมจะต้องน้อมรับโดยดุษณี
ผู้รู้และนักรายงานฮะดีษฝ่ายซุนหนี่ได้รายงานวิธีนมาซของท่านนบี(ซ.ล.)ไว้ในตำราเศาะฮี้ห์และสุนันทั้งหลายว่า “มุฮัมมัด บิน อุมัร บิน อะฏอ เล่าว่า ฉันได้ยินอบูฮะมี้ด ซาอิดีกล่าวท่ามกลางเศาะฮาบะฮ์สิบคน ซึ่งในจำนวนนี้มี อบูกุตาดะฮ์อยู่ด้วยว่า อยากให้ฉันเล่าหรือไม่ว่าท่านนบี(ซ.ล.)นมาซอย่างไร? ... เขาเล่าว่า ขณะจะนมาซ ท่านนบีจะยกสองมือระดับเดียวกับใหล่แล้วกล่าวตักบี้ร และอ่านซูเราะฮ์ด้วยความสุขุม แล้วจึงยกสองมือระดับไหล่พร้อมกับกล่าวตักบี้ร แล้วโค้งรุกู้อ์โดยที่แนบสองมือกับหัวเข่า แล้วจึงยืนตรงพร้อมกับกล่าวว่า سَمِعَ اللَّهُ لِمَنْ حَمِدَهُ แล้วท่านก็ยกสองมือขึ้นระดับไหล่พร้อมกับกล่าวตักบี้ร แล้วจึงลงสุญูดโดยที่มือสองข้างแนบใกล้ลำตัว แล้วจึงเงยศีรษะขึ้นโดยนั่งบนขาซ้าย  ขณะลงสุญูดท่านจะกางนิ้วเท้า ท่านกล่าวตักบี้รแล้วจึงเงยศีรษะขึ้น แล้วนั่งบนขาข้างซ้ายอีกครั้งหนึ่งกระทั่งสงบนิ่ง จากนั้นท่านก็เริ่มเราะกะอัตใหม่โดยกระทำเหมือนกัน เมื่อจบสองเราะกะอัต ท่านจะกล่าวตักบี้รขณะที่มือของท่านอยู่ระดับไหล่เสมือนเมื่อเริ่มนมาซ และกระทำเช่นนี้ในส่วนอื่นๆของนมาซ ในเราะกะอัตสุดท้ายท่านเหยียดขาข้างซ้ายมากขึ้นและนั่งบนนั้น” เหล่าเศาะฮาบะฮ์ ณ ที่นั้นกล่าวขึ้นว่า ถูกแล้ว ท่านนบีนมาซเช่นนี้[11]

ข้อสังเกตุ:
ฮะดีษข้างต้นมีข้อสังเกตุดังต่อไปนี้
ก. เนื่องจากฮะมี้ดมิได้เหนือกว่าคนอื่นๆในวงสนทนาในแง่ความเป็นสหายของท่านนบี ทำให้เป็นที่จับตาเป็นพิเศษของคนในวงสนทนา
ข. เนื่องจากเขาอ้างว่าจะสาธยายถึงการนมาซของท่านนบี ทำให้ยิ่งเป็นจุดสนใจของเศาะฮาบะฮ์ที่อยู่ ณ ที่นั้นมากยิ่งขึ้น
ค. คำบอกเล่าของฮะมี้ดเป็นไปในรูปแบบของการสาธยายถึงรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมดของการนมาซของท่านนบี

จากข้อสังเกตุเหล่านี้ กอปรกับการที่มีฮะดีษนบีในตำราของทั้งฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์ระบุว่า “จงนมาซอย่างที่ฉันนมาซ”[12] หากอบูฮะมี้ดสาธยายอย่างไม่ครบถ้วนหรืออุตริเพิ่มเติม ย่อมจะถูกคนในวงสนทนาทักท้วงเป็นแน่ ฉะนั้น ในเมื่ออบูฮะมี้ดมิได้เอ่ยถึง “อามีน” ในนมาซของท่านนบี(ซ.ล.) และบรรดาเศาะฮาบะฮ์ในที่นั้นก็มิได้ทักท้วงใดๆ จึงได้ข้อสรุปค่อนข้างชัดเจนว่าท่านนบี(ซ.ล.)ไม่เคยกล่าวอามีนในนมาซเลย และเรามีหน้าที่ปฏิบัติตามท่านนบี(ซ.ล.)เท่านั้น

นอกจากนี้ มีฮะดีษจากท่านนบี(ซ.ล.)ระบุว่า “ไม่อนุญาตให้กล่าวอามีนภายหลังอ่านฟาติหะฮ์”[13] ท่านอิมามศอดิก(อ.)ก็เคยกล่าวว่า “ขณะที่อิมามญะมาอัตอ่านฟาติหะฮ์จบ จงอย่ากล่าวคำว่าอามีน”[14]
ยิ่งไปกว่านั้น เชคเศาะดู้กยังรายงานฮะดีษหนึ่งที่มีใจความว่า การกล่าวอามีนในนมาซหยิบยืมมาจากวัฒนธรรมของคริสเตียน[15]

ฉะนั้น เนื่องจากการนมาซถือเป็นอิบาดะฮ์และจะได้รับการกำหนดมาแล้วอย่างตายตัว และจากการที่อามีนมิไช่ส่วนหนึ่งของการนมาซ ทำให้ผู้รู้ฝ่ายชีอะฮ์มีความเห็นตรงกันว่าการกล่าวอามีนในนมาซถือว่าฮะรอมและจะทำให้นมาซบาฏิล(โมฆะ)[16]

 

 


[1] ยูนุส บิน อับดุรเราะฮ์มาน รายงานจากอับดุลลอฮ์ บิน สะนานว่า ท่านอิมามศอดิก(อ.)เคยกล่าวว่า “ในไม่ช้าจะมีข้อเคลือบแคลงเกิดขึ้นกับพวกท่าน ซึ่งพวกท่านไม่ทราบวิธีแก้ อีกทั้งไม่มีผู้นำคนใดจะสามารถไขปัญหาได้ พวกท่านจะรู้สึกเคว้งคว้าง ผู้ใดที่ต้องการจะรอดพ้นจากข้อเคลือบแคลงเหล่านี้ก็จงอ่านดุอา “เฆาะรี้ก” ฉัน(ผู้รายงาน)เอ่ยถามว่า ดุอาเฆารี้กอ่านอย่างไรขอรับ? ท่านตอบว่า จงอ่านว่า يا اللَّه يا رحمان يا رحيم، يا مقلب القلوب ثبت قلبى على دينك  ฉันอ่านว่า يا مقلب القلوب و الابصار ثبت قلبى على دينك ท่านกล่าวว่า อัลลอฮ์ทรงเป็นมุก็อลลิบุลกุลู้บวัลอับศ้อรก็จริง แต่จงอ่านอย่างที่ฉันบอก นั่นคือ يا اللَّه يا رحمان يا رحيم، يا مقلب القلوب ثبت قلبى على دينك (อิบรอฮีม บิน อลี อามิลี กัฟอะมี, อัลบะละดุ้ลอะมีน, หน้า 24)

[2] สามารถอ่านได้ ณ เว็บไซต์แห่งนี้ที่ระเบียน “กล่าวอามีนหรืออัลฮัมดุลิลลาฮ์” คำถามที่ 5245 (ลำดับในเว็บไซต์ 5606)

[3] มุฮัมมัด เราะชี้ด ริฎอ, ตัฟซี้ร กุรอานิลอะซีม (อัลมะน้าร), เล่ม 1,หน้า 39, สำนักพิมพ์ดารุลมะอ์ริฟะฮ์,พิมพ์ครั้งที่สอง,เบรุต,เลบานอน

[4] บัยฎอวี,นาศิรุดดีน อบุลค็อยร์ อับดุลลอฮ์ บิน อุมัร, อันวารุตตันซี้ล วะอัสรอริตตะอ์วีล,เล่ม 1,หน้า 32,ดารุตตุรอษิ้ลอะเราะบี,เบรุต,ฮ.ศ. 1418

[5] อบูฮุร็อยเราะฮ์ อับดุรเราะฮ์มาน บิน ศ็อคร์ ดูซี (ฮ.ศ.22 - 59 ) เป็นครูบาฮะดีษของเศาะฮาบะฮ์และตาบิอีนกว่าแปดร้อยคน อุมัรได้แต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งผู้ครองแคว้นบาห์เรน ทว่าได้ถอดจากตำแหน่งเนื่องจากความอะลุ้มอล่วยเกินเหตุ ส่วนใหญ่เขาพำนักอยู่ที่มะดีนะฮ์ ตะกียุดดีน สุบกี ได้เขียนเอกสารชิ้นหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า “ฟะตาวา อบีฮุร็อยเราะฮ์” อับดุลฮุเซน ชะเราะฟุดดีนก็เคยเขียนหนังสือชื่อว่า อบูฮุร็อยเราะฮ์เช่นกัน (อัลอะอ์ลาม,เล่ม 4,หน้า 80 - 81) ฮุจญะตี,อัสบาบุนนุซู้ล,หน้า 216

[6] ดู: อิบนิ อบิลฮะดี้ด มุอ์ตะซิลี,อิซซุดดีน อบูฮามิด,ชัรฮ์นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์,เล่ม 4,หน้า 68, หอสมุดอายะตุลลอฮ์ มัรอะชี นะญะฟี,พิมพ์ครั้งแรก,ปี 1337

[7] ดู: ซุลฎอนี, อับดุลอะมี้ร,ฮุกมุตตะอ์มีน ฟิศเศาะลาฮ์,สมาพันธ์อะฮ์ลุลบัยต์โลก,พิมพ์ครั้งที่สอง

[8] ดู: ซับซะวอรี,อลี มุอ์มิน กุมี,ญามิอุ้ลคิลาฟ วัลวิฟ้าก บัยนัล อิมามียะอ์ วะบัยนะ อะอิมมะติลฮิญ้าซ วัลอะร้อก,สำนักพิมพ์ผู้เตรียมการมาของอิมามมะฮ์ดี(อ.),พิมพ์ครั้งแรก,กุม,ปี 1421

[9] อิสฟะรอยินี,อบุลมุซ็อฟฟัร ชาฮ์ฟู้ร บิน ฏอฮิร, ตาญุตตะรอญิม ฟีตัฟซีริลกุรอานิลอะอาญิม,อารัมภบท,หน้า 20,สำนักพิมพ์อิลมีฟัรฮังฆี,พิมพ์ครั้งแรก,เตหราน,ปี 1375 และ ชะฮีดษานี,ซัยนุดดีน บิน อลี บิน อะฮ์มัด อามิลี,ร็อวฏ็อลญินาน ฟีชัรฮิ อิรชาดิลอัซฮาน,หน้า 331,สถาบันอาลุลบัยต์(อ.),พิมพ์ครั้งแรก,กุม

[10] อิบนิ ชะฮ์รอชู้บ,มอซันดะรอนี,มุฮัมมัด บิน อลี, มุตะชาบิฮุลกุรอาน วะมุคตะละฟิฮ์,เล่ม 2,หน้า 170,สำนักพิมพ์บีด้อร,พิมพ์ครั้งแรก,กุม,ฮ.ศ.1410

[11] สุนัน อบีดาวู้ด, หมวดการเริ่มนมาซ,เล่ม 2,หน้า 391, ฮะดีษที่ 627, เว็บอัลอิสลาม http://www.al-islam.com (อัลมักตะบะตุชชามิละฮ์), สุนัน อิบนิมาญะฮ์,หมวดสิ้นสุดนมาซ,เล่ม 3,หน้า 355, เว็บอัลอิสลาม http://www.al-islam.com (อัลมักตะบะตุชชามิละฮ์) และ บัยฮะกี, สุนันกุบรอ,เล่ม 2,หน้า 72, เว็บอัลอิสลาม http://www.al-islam.com (อัลมักตะบะตุชชามิละฮ์) และ สุนันดาเราะมี,หมวดคุณลักษณะการนมาซของท่านนบี(ซ.ล.),เล่ม 4,หน้า 165, เว็บไซต์กระทรวงศาสนสมบัติอิยิปต์, http://www.islamic-council.com, (อัลมักตะบะตุชชามิละฮ์)

[12] บัยฮะกี, สุนันกุบรอ, เล่ม 2,หน้า 345, และ สุนัน ดารุกุฏนี,เล่ม 3,หน้า 172 เว็บไซต์กระทรวงศาสนสมบัติอิยิปต์, http://www.islamic-council.com, (อัลมักตะบะตุชชามิละฮ์) และ เศาะฮี้ห์ อิบนิฮับบาน,เล่ม 8,หน้า 243, และ มุสนัดชาฟิอี,เล่ม 1,หน้า 223, เว็บไซต์ญามิอุลฮะดีษ http://www.alsunnah.com (อัลมักตะบะตุชชามิละฮ์) และ มัจลิซี,มุฮัมมัด บากิร,บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 82,หน้า 279,สถาบันอัลวะฟา,เบรุต,เลบานอน,ฮ.ศ. 1404

[13] เศาะดู้ก,มันลายะฮ์ฎุรุฮุ้ลฟะกี้ฮ์,เล่ม 1,หน้า 390,สำนักพิมพ์ญามิอะฮ์มุดัรริซีน,กุม,ฮ.ศ.1413

[14] กุลัยนี,อัลกาฟี,เล่ม 3,หน้า 313,ดารุลกุตุบิลอิสลามียะฮ์,เตหราน,ปี 1365 และ ฏูซี,อัลอิสติบศ้อร,เล่ม 1,หน้า 318,ดารุลกุตุบิลอิสลามียะฮ์,เตหราน,ฮ.ศ.1390 และ ฏูซี,ตะฮ์ซีบุลอะห์กาม,เล่ม 2,หน้า 74,ดารุลกุตุบิลอิสลามียะฮ์,เตหราน,ฮ.ศ.1365

[15] เศาะดู้ก,มันลายะฮ์ฎุรุฮุ้ลฟะกี้ฮ์,เล่ม 1,หน้า 390

[16] ฮิลลี,ฮะซัน บิน ยูซุฟ บิน มุเฏาะฮ์ฮัร อะสะดี,ตัซกิเราะตุ้ลฟุเกาะฮาอ์(พิมพ์ใหม่),เล่ม 3,หน้า 162,สถาบันอาลุลบัยต์(อ.),พิมพ์ครั้งแรก,กุม,เพิ่มเติมและตรวจทานโดยฝ่ายค้นคว้าของสถาบัน, และ ฏูซี,มุฮัมมัด บิน ฮะซัน, อัลคิล้าฟ,เล่ม 1,หน้า 332,สำนักพิมพ์อิสลามี ภายใต้ญามิอะฮ์มุดัรริซีน,กุม,ฮ.ศ. เพิ่มเติมและตรวจทานโดย เชคอลี คุรอซอนี และซัยยิดญะว้าด ชะฮ์ริสตานี และเชคมะฮ์ดี ฏอฮา นะญัฟ และ เชคมุจตะบา อะรอกี

 

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ความต่างกิจกรรมของวิญญาณขณะนอนหลับ และสลบคืออะไร?
    16383 ปรัชญาอิสลาม 2555/09/29
    รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณขณะตื่นนอน กับการปฏิสัมพันธ์ขณะนอนหลับนั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ตามคำสอนของอิสลามจึงได้เรียกการนอนหลับว่า เป็นพี่น้องของความตาย วิทยาศาสตร์แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายขณะนอนหลับ แต่สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายขณะนอนหลับได้ บนพื้นฐานของการค้นคว้านั้นและการทำสอบพบว่ามนุษย์มีการนอนหลับในสองระดับ ด้วยนามว่า REM และ Non REM ซึ่งทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วการความฝันที่มักเกิดในระดับของ Non REM เกิดจากการหลับลึกซึ่งจะไม่อยู่ในความทรงจำ แต่เฉพาะการนอนหลับในระ REM เท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ ส่วนการสลบหมดสติเกิดจากการเบี่ยงเบนของวิญญาณ และเป็นการหลับที่ลุ่มลึกมาก ทำให้เขาไม่มีความทรงจำอันใดหลงเหลืออยู่ ...
  • ตักวาหมายถึงอะไร?
    17805 จริยธรรมทฤษฎี 2555/01/23
    ตักว่าคือพลังหนึ่งที่หยุดยั้งจิตด้านในซึ่งการมีอยู่ของมนุษย์คือสาเหตุของการมีพลังนั้นและพลังดังกล่าวจะพิทักษ์ปกป้องมนุษย์ให้รอดพ้นจากการกระทำความผิดฝ่าฝืนต่างๆความสมบูรณ์ของตักวานอกจากจะช่วยทำให้มนุษย์ห่างไกลจากความผิดบาปและการก่ออาชญากรรมต่างๆ
  • เหตุใดจึงเรียกอิมามฮุเซนว่าษารุลลอฮ์?
    7333 จริยธรรมทฤษฎี 2554/12/11
    ษารุลลอฮ์ให้ความหมายว่าการชำระหนี้เลือดแต่ก็สามารถแปลว่าเลือดได้เช่นกันตามความหมายแรกอิมามฮุเซนได้รับฉายานามนี้เนื่องจากอัลลอฮ์จะเป็นผู้ทวงหนี้เลือดให้ท่านแต่หากษารุลลอฮ์แปลว่า"โลหิตพระเจ้า" การที่อิมามได้รับฉายานามดังกล่าวเป็นไปตามข้อชี้แจงต่อไปนี้:1. "ษ้าร"เชื่อมกับ"อัลลอฮ์"เพื่อให้ทราบว่าเป็นโลหิตอันสูงส่งเนื่องจากเป็นการเชื่อมคำในเชิงยกย่อง2.มนุษย์ที่บรรลุสู่ความสมบูรณ์ในระดับใกล้ชิดทางภาคบังคับต่างก็เป็นหัตถาพระเจ้าชิวหาพระเจ้าและโลหิตพระเจ้าหมายถึงถ้าหากพระองค์ทรงประสงค์จะทำสิ่งใดมนุษย์ผู้นี้จะเป็นดั่งพระหัตถ์หากทรงประสงค์จะตรัสเขาจะเป็นดั่งชิวหาและหากพระองค์ทรงประสงค์จะพิทักษ์ศาสนาของพระองค์ด้วยโลหิตเขาจะเป็นดั่งโลหิตพระองค์อิมามฮุเซน(อ.)เป็นดั่งโลหิตพระองค์เนื่องจากโลหิตของท่านช่วยชุบชีวิตแก่ศาสนาของพระองค์เราเชื่อว่าความหมายแรกเป็นความหมายที่เหมาะสมกว่าแต่ความหมายที่สองก็เป็นคำธิบายที่น่าสนใจเช่นกันโดยเฉพาะหากเป็นผู้ที่อยู่ในแวดวงจาริกทางจิตอาจทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้งกว่า ...
  • อัลลอฮฺคือสาเหตุที่แท้จริงของการอธรรม และผู้อธรรมหรือ?
    11254 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/09/29
    สำหรับคำตอบคำถามเหล่านี้ จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญเหล่านี้ก่อน 1.รากที่มาของการอธรรมของผู้อธรรมทั้งหลาย สามารถสรุปได้ใน 4 ประเด็นดังนี้คือ 1.ความโง่เขลา 2. การเลือกสรร 3. ความประพฤติอันเลวทราม 4. ความอ่อนแอไร้สามารถ, แต่อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไม่ความอธรรมใดๆ ในพระองค์ ด้วยเหตุนี้ สำหรับพระองค์แล้วคือ ผู้ยุติธรรม ซึ่งเป็นหน่วยเนื้อเดียวกันกับความยุติธรรม และเนื่องจากพระองค์ทรงรอบรู้ และทรงยุติธรรม ภารกิจของพระองค์จึงวางอยู่บนความยุติธรรม และวิทยปัญญาเท่านั้น 2.อัลลอฮฺ ทรงสร้างมนุษย์มาในลักษณะเดียวกัน และได้ประทานแนวทางแห่งการชี้นำทางแก่พวกเขา และทั้งหมดมีสิทธิที่จะเลือกสรรด้วยตนเอง ซึ่งมีบางกลุ่มด้วยเหตุผลนานัปการ หรือมีปัจจัยหลายอย่างเป็นแรงจูงใจให้พวกเขาเลือกหนทางหลงผิด และการอธรรม บางกลุ่มพยายามต่อสู้ชนิดขุดรากถอนโคนการอธรรม ที่แฝงเร้นอยู่ในใจของตนเอง พวกเขามุ่งไปสู่หนทางแห่งการชี้นำ และความยุติธรรม พยามประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ตามรากที่มาของคำถามเหล่านี้ ล้วนมาจากความคิดที่ว่ามนุษย์ได้รับการบีบบังคับให้เป็นเช่นนั้น หรือที่เรียกว่าพรหมลิขิต ทั้งที่เหตุผลของพรหมลิขิตมิเป็นที่ยอมรับแต่อย่างใด เราเชื่อตามคำสอนของศาสนา ...
  • ท่านอับบาสอ่านกลอนปลุกใจว่าอย่างไรขณะกำลังนำน้ำมา
    8982 ชีวประวัตินักปราชญ์ 2554/12/25
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • ข้อแตกต่างระหว่างมะอ์นะวียัตในอิสลามและคริสตศาสนา
    6859 เทววิทยาใหม่ 2554/10/24
    คุณค่าของมะอ์นะวียัตของแต่ละศาสนาขึ้นอยู่กับคุณค่าของศาสนานั้นๆคำสอนของคริสตศาสนาบางประการขัดต่อสติปัญญาโดยที่ชาวคริสเตียนเองก็ยอมรับเช่นนั้นมะอ์นะวียัตที่ได้จากคำสอนเช่นนี้ก็ย่อมมีข้อผิดพลาดเป็นธรรมดาและนี่คือข้อแตกต่างหลักระหว่างมะอ์นะวียัตของอิสลามและคริสตศาสนากล่าวคือโดยพื้นฐานแล้วมะอ์นะวียัตของคริสต์ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้เมื่อพิจารณาถึงแหล่งเนื้อหาที่มีบางจุดขัดต่อสติปัญญาทำให้ไม่สามารถจะนำพาสู่ความผาสุกได้อย่างไรก็ดีสภาพมะอ์นะวียัตของตะวันตกในปัจจุบันย่ำแย่ไปกว่ามะอ์นะวียัตดั้งเดิมของคริสตศาสนาเสียอีกในขณะที่มะอ์นะวียัตของอิสลามนั้นได้รับอิทธิพลจากคำสอนจากวิวรณ์
  • ผู้มีญุนุบที่ได้ทำตะยัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ สามารถเข้ามัสยิดได้หรือไม่?
    6954 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/08
    ผู้ที่มีญุนุบที่อยู่ในเงื่อนไขที่สามารถทำตะญัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่นั้นหลังจากที่ได้ทำการตะยัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่แล้วก็สามารถเข้าไปในมัสยิดเพื่อร่วมทำนมาซญะมาอัตหรือฟังบรรยายธรรมได้ท่านอิมามโคมัยนีได้ให้คำตอบเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า: “ผลพวงทางด้านชาริอะฮ์ที่เกิดขึ้นจากการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่จะมีในกรณีการทำการตะยัมมุมทดแทนเช่นกันนอกจากกรณีการตะยัมมุมทดแทนด้วยเหตุผลที่จะหมดเวลานมาซมัรญะอ์ท่านอื่นๆก็มีทัศนะนี้เช่นเดียวกัน
  • ความสำคัญ และปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คืออะไร?
    7696 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/20
    สำหรับการติดตามผลอย่างมีนัยของการให้ความสำคัญและปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้:1. ...
  • กาสาบานต่อท่านศาสดาและอิมามในเดือนรอมฎอนคือ สาเหตุทำให้ศีลอดเสียหรือ?
    7299 สิทธิและกฎหมาย 2555/07/16
    การสาบาน มิใช่หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ศีลอดเสีย แต่ถ้าได้สาบานโดยพาดพิงสิ่งโกหกไปยังอัลลอฮฺ (ซบ.) ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และตัวแทนของท่านโดยตั้งใจ ซึ่งสาเหตุนี้เองที่กล่าวว่า เป็นการโกหกที่พาดพิงไปยังอัลลอฮฺ ศาสดา (ซ็อลฯ) และตัวแทนของท่าน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ศีลอดเสีย ส่วนคำสาบานต่างๆ ที่อยู่ในบทดุอาอฺไม่ถือว่าโกหก ทว่าเป็นการเน้นย้ำและอ้อนวอนให้ตอบรับดุอาอฺที่ขอต่ออัลลอฮฺ ซึ่งไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้ศีลอดเสียแต่อย่างใด ...
  • ปรัชญาของการมีทาสในอิสลามคืออะไร? อิสลามมีวิธีการจัดการกับสิ่งเหล่าอย่างไร?
    12116 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    ถูกต้องบทบัญญัติเกี่ยวกับ การแต่งงานกับทาส, การเป็นมะฮฺรัมกับทาส, สัญญาซื้อขาย (ข้อตกลงที่จะปล่อยทาสเป็นไท) และ ...ได้ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน, การมีทาสได้รับการยืนยันว่ามีจริงในสมัยของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) และต้นยุคอิสลาม แต่จำเป็นต้องกล่าวว่าอิสลามมีโปรแกรมที่ละเอียดอ่อน และมีกำหนดเวลาในการปลดปล่อยทาสให้เป็นไท ซึ่งบั้นปลายสุดท้ายของทั้งหมดเหล่านั้นคือ การได้รับอิสรภาพเป็นไททั้งสิ้น ดังนั้นการเผชิญหน้าของอิสลามกับปัญหาเหล่านี้ จำเป็นต้องกล่าวถึงประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้: 1-อิสลามมิเคยเริ่มต้นปัญหาเรื่องทาส 2-อิสลามถือว่าปัญหาชะตากรรม และความเจ็บปวดใจของทาสในอดีตที่ผ่านมาคือ ปัญหาความล้าหลังอันยิ่งใหญ่ของสังคม 3-อิสลามได้วางโครงการที่ละเอียดอ่อน เพื่อปลดปล่อยทาสให้เป็นไท, เนื่องจากครึ่งหนึ่งของพลเมืองในสมัยก่อนเป็นทาสทั้งสิ้น, พวกเขาไม่มีอิสรเสรีในการประกอบอาชีพการงาน, ไม่มีปัจจัยสำหรับการดำเนินชีวิตต่อไป.ถ้าหากอิสลามได้มีคำสั่งต่อสาธารณชนว่าให้ทั้งหมดปล่อยทาสให้เป็นไท, ซึ่งเป็นไปได้ว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาจะต้องสูญเสียชีวิต หรือไม่ชนส่วนใหญ่ก็จะต้องว่างงานไร้อาชีพ หิวโหย ถูกกีดกัน และพวกเขาต้องได้รับแรงกดดันจนกระทั่งเข้าทำร้ายและโจมตีในทุกที่ การประจัญบาน การนองเลือด และการทำลายกฎระเบียบของสังคมก็จะทวีความรุนแรงขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง อิสลามได้วางแผนการไว้อย่างละเอียด เพื่อดึงดูดสังคมให้ทาสเหล่านี้ได้รับอิสรภาพ และเป็นไทไปที่ละน้อย ซึ่งแผนการดังกล่าวมีองค์ประกอบหลายประการด้วยกัน ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60136 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57576 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42222 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39377 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38954 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34008 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28026 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27971 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27808 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25805 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...