การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
12431
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/12/13
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1912 รหัสสำเนา 27001
คำถามอย่างย่อ
เพราะอะไรปัญหาเรื่องการตกมุรตัด ระหว่างหญิงกับชายจึงมีกฎแตกต่างกัน?
คำถาม
เพราะเหตุใดเมื่อหญิงคนหนึ่งตกมุรตัด จึงไม่ถูกประหารชีวิต, แต่ถ้าชายคนหนึ่งตกมุรตัด เขาจึงถูกตัดสินประหารชีวิต?
คำตอบโดยสังเขป

อิสลามต้องการให้ผู้เข้ารับอิสลาม ได้ศึกษาข้อมูลและหาเหตุผลให้เพียงพอเสียก่อน แล้วจึงรับอิสลามศาสนาแห่งพระเจ้า ได้รับการชี้นำจากพระองค์ต่อไป แต่หลังจากยอมรับอิสลามแล้ว และได้ปล่อยอิสลามให้หลุดลอยมือไป จะเรียกคนนั้นว่าผู้ปฏิเสธศรัทธา และจะได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง เนื่องจากสิ่งที่เขาทำจะกลายเป็นเครื่องมือมาต่อต้านอิสลามในภายหลัง และจะส่งผลกระทบในทางลบกับบรรดามุสลิมคนอื่นด้วย

แต่เมื่อพิจารณาความพิเศษต่างๆ ของสตรีและบุรุษแล้ว จะพบว่าทั้งสองเพศมีความพิเศษด้านจิตวิญญาณ จิตวิทยา และร่างกายต่างกัน ซึ่งแต่คนจะมีความพิเศษอันเฉพาะแตกต่างกันออกไป เช่น สตรีถ้าพิจารณาในแง่ของจิต จะเห็นว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจเปี่ยมไปด้วยความรักและความสงสาร มีความรู้สึกอ่อนไหวเมื่อเทียบกับบุรุษ ดังนั้น กฎที่ได้วางไว้สำหรับบุรุษและสตรี จึงไม่อาจเท่าเทียมกันได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกฎ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้จัดตั้งกฎขึ้นโดยพิจารณาที่ เงื่อนไขต่างๆ และความพิเศษของพวกเขา พระองค์ทรงรอบรู้ถึงคุณลักษณะของปวงบ่าวทั้งหมด โดยสมบูรณ์ และทรงออกคำสั่งห้ามและคำสั่งใช้ บนพื้นฐานเหล่านั้น

มนุษย์นั้นมีความรู้เพียงน้อยนิด จึงไม่อาจเข้าใจถึงปรัชญาของความแตกต่าง ระหว่างบทบัญญัติทั้งสองได้โดยสมบูรณ์ เว้นเสียแต่ว่าความแตกต่างเหล่านั้น ได้ถูกอธิบายไว้ในโองการหรือในรายงานฮะดีซ ด้วยเหตุนี้ ระหว่างหญิงกับชายถ้าจะวางกฎเกณฑ์ โดยมิได้พิจารณาถึงความพิเศษต่างๆ ของพวกเขาถือว่าไม่ถูกต้อง และสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่มนุษย์ได้ปฏิเสธมาโดยตลอด

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำว่า เอรติดาด มาจากคำว่า “ร็อด” ตามหลักภาษาแล้วหมายถึง การกลับ ส่วนในนิยามของศาสนาคือการกลับไปสู่สภาพผู้ปฏิเสธศรัทธา จึงได้เรียกว่า เอรติดาด หรือ ร็อด[1] นักค้นคว้าบางคนเชื่อว่า เอรติดาด แม้ว่าจะหมายถึง การกลับ แต่ในความหมายของนักปราชญ์ คำนี้จะมีเงื่อนของการปฏิเสธแฝงอยู่ด้วย

ญาฮิด หมายถึงบุคคลที่ปฏิเสธความจริง ทั้งๆ ที่มีความรู้เกี่ยวกับความจริงนั้น หรืออย่างน้อยที่สุดมีความเคลือบแคลงใจต่อส่งนั้น ทั้งที่มีเหตุผลครบครันแต่ก็ยังปฏิเสธ[2]

ด้วยเหตุนี้เอง อิสลามจึงไม่ต้องการการปฏิบัติตามเยี่ยงคนตาบอด ไร้เหตุผล ทว่าเชื่อมั่นว่าการยืนหยัดด้วยเหตุผล และตรรกะจะช่วยทำให้บุคคลนั้น ห่างไกลจากความเคลือบแคลง หรือความสลับซับซ้อน และเมื่อเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น เขาก็สามารถยืนหยัดบนเหตุผลของศาสนาได้[3]

อัลกุรอาน กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า : »หากว่ามีมุชริกคนใดได้ขอให้เจ้าคุ้มครอง เจ้าจงคุ้มครองเขาเถิด เพื่อว่าเขาจะได้รับฟังดำรัสของอัลลอฮฺ แล้วจงส่งเขาไปยังที่ปลอดภัย .. «[4]

ได้มีชายคนหนึ่งนามว่า “ซ็อฟวาน” ไปหาท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) และเขาต้องการให้ท่านเราะซูลอนุญาตให้เขาอยู่ในมักกะฮฺ เป็นเวลา 2 เดือน เพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับอิสลาม เพื่อว่าบางที่เขาอาจได้รับความจริง และความถูกต้องเกี่ยวกับอิสลาม แล้วจะได้ศรัทธา, ท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) กล่าวว่า ฉันจะอนุญาตให้เจ้า 4 เดือน แทน 2 เดือน แล้วจะให้ความปลอดภัยแก่เจ้าด้วย[5]

อีกด้านหนึ่ง บทบัญญัติของอิสลาม ได้ถูกวางขึ้นโดยพิจารณาจากความถูกต้องเหมาะสม และความเสียหายที่แท้จริง แน่นอนว่าบทบัญญัติของ การตกมุรตัด ก็จัดอยู่ในประเภทนี้

อัลกุรอาน บางโองการ เช่น โองการที่ 217, บทบะเกาะเราะฮฺ, โองการที่ 72, บทอาลิอิมรอน, บ่งบอกให้เห็นว่า การตกมุรตัด เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ การฟิตนะฮฺ (ความเลวร้าย) ทางความผิด เพื่อก่อให้เกิดความสั่นคลอนในด้านความเชื่อเรื่องศาสนาสำหรับมุสลิม ซึ่งได้ถูกโฆษณาชวนเชื่อโดยศัตรูทั้งจากภายในและภายนอก[6]

โองการที่ 72 บทอาลิอิมรอน กล่าวว่า “กลุ่มหนึ่งจากชาวคัมภีร์กล่าวว่า (แก่ผู้ปฏิบัติตามตนว่า) ท่านทั้งหลายจงศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่บรรดาผู้ศรัทธา ในตอนเริ่มแรก และจงปฏิเสธในตอนสุท้าย (กลับใจออกจากอิสลาม) เพื่อว่าพวกเขาจะได้กลับใจ (ไปสู่ศาสนาเดิม)[7]

ตามความเป็นจริงแล้ว การตกมุรตัด ในความหมายของตัวมันคือ สื่อในการปฏิเสธศาสนา และการโฆษณาชวนเชื่อ ที่เกิดจากความดื้อรั้น และความอคติ ซึ่งไม่ได้เกิดบนเหตุผลหรือการพิสูจน์แต่อย่างใด สิ่งนี้ได้ออกมาจากความสงสัย และความคลุมเครือต่างๆ ที่ผิดพลาด ด้วยเหตุนี้เอง สามารถกล่าวได้ว่าปรัชญาของการตกมุรตัด ประกอบด้วย การโฆษณาให้ร้ายต่อศาสนา ซึ่งสุดท้ายแล้วเป็นการขู่ท้าทายกฎเกณฑ์ และมารยาททางสังคมอิสลาม[8]

อิสลามได้เตรียมโปรแกรมไว้สำหรับการเกิดเหตุการณ์ไม่ดีดังกล่าว บางทีอาจเป็นไปได้จากการเปลี่ยนศาสนานั้น เป็นสาตุทำให้สังคมอิสลามต้องติดกับดัก จึงได้มีคำสั่งอย่างรีบด่วนว่า ถ้าหากชายมุสลิมคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมา โดยที่บิดามารดาเป็นมุสลิม ต่อมาเขาได้ตก “มุรตัด” ซึ่งเรียกการตกมุรตัดลักษณะนี้ว่า การตกมุรตัดฟิฎรียฺ (ตกศาสนาโดยกำเนิด) ซึ่งโทษทัณฑ์คือ การประหารชีวิต, แต่ถ้าถือกำเนิดขึ้นมาโดยที่บิดามารดามิได้เป็นมุสลิม ต่อมาได้เข้ารับอิสลาม หลังจากนั้นได้กลับไปเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาอีก เรียกการตกมุรตัดลักษณะนี้ว่า การตกมุรตัดมิลลี (มิได้เป็นโดยกำเนิด) ตรงนี้จะปล่อยเวลาให้เขาได้มีโอกาสกลับโตกลับใจ (เตาบะฮฺ) แต่ถ้าเขาไม่ยอมรับ ก็จะถูกตัดสินประหารชีวิตเช่นกัน[9]

แต่ถ้าสตรีตกมุรตัด อิสลามได้กำหนดบทลงโทษแก่พวกนางในสถานเบากว่า[10] นั่นหมายความว่า ถ้าสตรีตกมุรตัด ไม่ว่าจะเป็นฟิฏรียฺหรือมิลลี จะไม่ถูกประหารชีวิต ทว่าจะให้นางกลับตัวกลับใจแทน (เตาบะฮฺ ถ้าหากได้วิงวอนขออภัยโทษ จะปล่อยให้นางเป็นอิสระ มิเช่นนั้นแล้วนางจะถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต และเมื่อถึงเวลานะมาซนางจะถูกเฆี่ยนตี และจะให้ดำเนินชีวิตอย่างยากลำบาก[11]

ต้องพิจารณาว่า ในทัศนะอิสลามมนุษย์ทั้งหมด (บุรุษและสตรี) ถูกสร้างขึ้นมาเหมือนกัน : «خلقکم من نفس واحدة»[12] ข้าได้สร้างพวกเจ้าขึ้นมาจากอินทรียฺเดียวกัน ดังนั้น จึงไม่มีใครดีกว่าใคร แต่อิสลามได้ตั้งเกณฑ์วัดมาตรฐานความดีกว่ากันเอาไว้นั้นคือ ตักวาความสำรวมตนต่อพระเจ้า อัลกุรอานกล่าวว่า : «ان اکرمکم عندالله اتقاکم» ผู้ที่ประเสริฐกว่าในหมู่พวกเจ้าคือผู้มีตักวา[13]

แต่อย่างไรก็ตามทั้งบุรุษและสตรี แต่ละคนจะมีคุณลักษณะที่ต่างกันออกไป ทั้งสองจะมีความพิเศษด้านจิตวิญญาณ จิตวิทยา สรีระอันเฉพาะ ซึ่งจะทำให้เขาบางคนดีกว่าบางคน เช่น เราทุกตนต่างทราบกันดีว่า สตรี ในแง่ของจิตใจและทางจิตวิทยาแล้ว จะเห็นว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจเปี่ยมไปด้วยความรักและความสงสาร มีความรู้สึกอ่อนไหวเมื่อเทียบกับบุรุษ บางทีอาจกล่าวได้ว่า ในรายงานของท่านอิมามอะลี (อ.) ที่ว่า "المرأة ریحانة و لیست بقهرمانة" สตรีคือดอกไม้ ไม่ใช่วีรบุรุษ”[14] คำพูดได้กล่าวนี้ได้โอบอุ้มความจริงที่กำลังกล่าวถึง

ประเด็นดังกล่าวนี้ เป็นความจริงซึ่งบรรดานักค้นคว้าวิจัยทั้งหลาย ต่างได้ยืนยันถึงความจริงดังกล่าว

หนึ่ง นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกากล่าวว่า : “โลกของบุรุษและโลกของสตรีมีความแตกต่างกันโดยแท้ ...นอกจากนั้นแล้วความรู้สึกของทั้งสอง จะไม่มีวันเหมือนกันเด็ดขาด”

“คลีโอ เดลสัน” กล่าวว่า : ในฐานะของสตรีที่เป็นนักจิตวิทยาคนหนึ่ง สิ่งที่เป็นความหวังสูงสุดที่อยากจะทำคือ การศึกษาชีวิตจิตใจของบุรุษ ..ซึ่งฉันได้บทสรุปว่า สุภาพสตรีทั้งหลาย (ส่วนใหญ่) จะทำตามความรู้สึก ส่วนสุภาพบุรุษนั้นจะทำตาม การตัดสินใจของปัญญา ซึ่งเราได้เห็นอยู่อย่างดาษดื่นว่า สุภาพสตรีส่วนใหญ่ในแง่ของ สติปัญญาและความฉลาดแล้ว มิใช่ว่าจะไม่เท่าเทียมกับบุรุษเพียงอย่างเดียว ทว่าพวกเธอยังด้อยกว่าด้วยซ้ำ ภารกิจต่างๆ ที่ต้องอาศัยการคบคิดอยู่ตลอดเวลา จะทำให้สตรีรู้สึกเหนื่อยหน่ายและเกียจคร้านขึ้นทันที

“อ๊อตโตไคล” สุภาพสตรีทั้งหลาย โดยทั่วไปแล้วจะมีความรู้สึกอ่อนไหวมากกว่าสุภาพบุรุษ

“มุฮัมมัด กุฎบฺ” ถ้าหากสตรีต้องการเป็นมารดา ต้องมีความรู้สึกอ่อนไหวมากกว่านี้”[15]

ด้วยเหตุนี้เอง (บทบัญญัติ) ถ้าได้กำหนดขึ้นโดยไม่ได้พิจารณาถึงโครงสร้างของความแตกต่าง ก็จะได้เพียงกฎหมายที่ใช้ปกครองสังคมเพียงอย่างเดียว แต่จะไม่สามารถเติมเต็มความถูกต้องที่สังคมควรจะเป็นได้ จากจุดนี้เองบางที่หน้าที่และบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับบุรุษ และสตรี เช่น กฎการตกมุรตัด จึงต้องแตกต่างกัน

ด้วยเหตุนี้ สามารถกล่าวได้ว่า “สตรีทั้งหลายในแง่ของการป้องกัน และการคิดนั้นจะแตกต่างกับบุรุษ และสตรีจะได้รับผลกระทบเร็วกว่า ดังเช่นเรื่อง การตกมุรตัด อิสลามจึงได้วางกฎเกณฑ์เบาและง่ายกว่าสำหรับสตรี [16]

ความรู้ของมนุษย์เป็นเพียงสิ่งน้อยนิด ดังคำกล่าวของ วิลเลี่ยม เจมส์ ที่ว่า ความรู้ของมนุษย์เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาไม่รู้ ประหนึ่งหยดน้ำเล็กๆ เมื่อเทียบกับมหาสมุทร[17] ไอน์สไต ตีความว่า ตราบจนถึงปัจจุบันนี้สิ่งที่มนุษย์ได้อ่านจากหน้าธรรมชาตินั้น เพิ่งจะรู้จักภาษาเท่านั้นเอง[18]

ดังนั้น สติปัญญาของมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ถึงเกณฑ์ (ดีและชั่ว) และไม่เข้าใจบทบัญญัติว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น สิ่งที่อยู่ในฐานะของปรัชญาของบทบัญญัติบางอย่างเช่น (บทบัญญัตมุรตัด) ดังอธิบายไปแล้วนั้น ถ้าหากไม่พึงโองการ หรือคำอธิบายของอิมามมะอฺซูม (อ.) แล้ว เราจะไม่มีวันเข้าใจถึง วิทยปัญญา ของบัญญัติข้อนั้นเด็ดขาด ซึ่งจะเข้าใจได้ก็แค่เพียง ระดับของการคาดเดาเอาเท่านั้นเอง ท่านอิมามอะลี ซัยนุลอาบิดีน (อ.) กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “

«انّ دین الله لا یصاب بالعقول الناقصة» ศาสนาของพรเจ้านั้น ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยสติปัญญาที่บกพร่อง”[19] ดังคำกล่าวของ

ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก

1.คำถามที่ 17843 (ไซต์ : th17492) หัวข้อ สตรีในอิสลาม

2.คำถามที่ 267 (ไซต์ : 1881) หัวข้อ อัลกุรอานและการยืนหยัดของบุรุษและสตรี

3.คำถามที่ 23221 (ไซต์ : fa1027) หัวข้อ การประหารชีวิตมุรตัดฟิฏรียฺ

4.คำถามที่ 53 (ไซต์ : 289) หัวข้อ เสรีภาพทางความเชื่อกับการประหารชีวิตมุรในอิสลาม

 


[1]ซีดีวิชาการโพรซิมอน

[2] เซรอมมี, ซัยฟุลลอฮฺ, อะฮฺกามมุรตัด อัชดีดเฆาะฮฺ อิสลาม วะ ฮุกูกบะชัด, หน้า 255.

[3] โกรบอนนี ซัยนุลอาบิดีน, อิสลาม วะ ฮุกูกบะชัร, หน้า 480.

[4] บทเตาบะฮฺ, 6

[5] อิบนุ อะซีร, อะซะดุลฆอบะฮฺ, เล่ม 3, หน้า 22, คัดลอกมาจาก อิลามวะฮุกูกบะชัร หน้า 481

[6] ซีดีวิชาการโพรซิมอน

[7] อาลิอิมรอน, 72.

[8] เซรอมมี, ซัยฟุลลอฮฺ, อะฮฺกามมุรตัด อัชดีดเฆาะฮฺ อิสลาม วะ ฮุกูกบะชัด, หน้า 281.

[9] โกรบอนนี ซัยนุลอาบิดีน, อิสลาม วะ ฮุกูกบะชัร, หน้า 484.

[10] อ้างแล้ว, หน้า 484.

[11] อิมามโคมัยนี้,ตะรีรุลวะซีละฮฺ, เล่ม 2, กิตาบฮุดูด, หน้า 445.

[12] บทนิซาอฺ,1.

[13] บทฮุจญฺรอต, 13.

[14] กุลัยนียฺ, กาฟียฺ, เล่ม 5, หน้า 510.

[15] อิสลาม ฮุกูก บะชัร

[16] อ้างแล้ว, หน้า 484.

[17] อิสลาม ฮุกูก บะชัร, หน้า 82-92.

[18] อ้างแล้ว

[19] บิฮารุลอันวาร, เล่ม 2, หน้า 303.

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ตักวาหมายถึงอะไร?
    17841 จริยธรรมทฤษฎี 2555/01/23
    ตักว่าคือพลังหนึ่งที่หยุดยั้งจิตด้านในซึ่งการมีอยู่ของมนุษย์คือสาเหตุของการมีพลังนั้นและพลังดังกล่าวจะพิทักษ์ปกป้องมนุษย์ให้รอดพ้นจากการกระทำความผิดฝ่าฝืนต่างๆความสมบูรณ์ของตักวานอกจากจะช่วยทำให้มนุษย์ห่างไกลจากความผิดบาปและการก่ออาชญากรรมต่างๆ
  • กฎของการออกนอกศาสนาของบุคคลหนึ่ง, ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินของผู้ปกครองหรือไม่?
    5863 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    คำถามของท่าน สำนัก ฯพณฯ มัรญิอฺตักลีดได้ออกคำวินิจฉัยแล้ว คำตอบของท่านเหล่านั้น ดังนี้ ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมาคอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองท่าน): การออกนอกศาสนา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินของผู้ปกครอง ซึ่งถ้าหากบุคคลนั้นได้ปฏิเสธหนึ่งในบัญญัติที่สำคัญของศาสนา ปฏิเสธการเป็นนบี หรือมุสาต่อท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือนำความบกพร่องต่างๆ มาสู่หลักการศาสนาโดยตั้งใจ อันเป็นสาเหตุนำไปสู่การปฏิเสธศรัทธา หรือออกนอกศาสนา หรือตั้งใจประกาศว่า ตนได้นับถือศาสนาอื่นนอกจากอิสลามแล้ว ทั้งหมดเหล่านี้ถือว่า เป็นมุรตัด หมายถึงออกนอกศาสนา หรือละทิ้งศาสนาแล้ว ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา มะการิม ชีรอซียฺ (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองท่าน) : ถ้าหากบุคคลหนึ่งปฏิเสธหลักความเชื่อของศาสนา หรือปฏิเสธบทบัญญัติจำเป็นของศาสนาข้อใดข้อหนึ่ง และได้สารภาพสิ่งนั้นออกมาถือว่า เป็นมุรตัด ...
  • การทำความผิดซ้ำซาก เป็นให้ถูกลงโทษรุนแรงหรือ?
    11495 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/08/22
    การทำความผิดซ้ำซากมีความหมาย 2 อย่าง กล่าวคือ 1-ทำความผิดซ้ำบ่อยครั้ง, 2- กระทำผิดโดยไม่ได้คิดลุแก่โทษ หรือไม่เคยกลับตัวกลับใจ การทำความผิดซ้ำซากนั้น จะมีผลติดตามมาซึ่งหนักหนาสาหัสมาก ทั้งโองการอัลกุรอานและรายงานฮะดีซ ได้กล่าวตำหนิไว้อย่างรุนแรง และยังได้กล่าวเตือนอีกว่าผลของการกระทำความผิดนั้น เช่น การเปลื่ยนจากความผิดเล็กเป็นความผิดใหญ่, การออกนอกวงจรของผู้มีความสำรวมตน, ความอับโชคเฮงซวยทั้งหลาย, อิบาดะฮฺไม่ถูกตอบรับ, ลากพามนุษย์ไปสู่เขตแดนของผู้ปฏิเสธศรัทธาและพระเจ้า และ ... หนึ่งในผลของการทำความผิดซ้ำซากคือ การได้รับโทษทัณฑ์อันรุนแรงทั้งโลกนี้และโลกหน้า เหมือนกับบุคคลที่ได้ทำบาปใหญ่ ถ้าเป็นครั้งที่สองเขาจะถูกลงโทษและถูกเฆี่ยนตี ถ้าเป็นครั้งที่สามประหารชีวิต ...
  • การกระทำใดบ้างที่ส่งผลให้คนเราแลดูสง่ามีราศี?
    6390 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/28
    ในมุมมองของอิสลามความสง่างามแบ่งได้เป็นสองประเภทอันได้แก่ความงดงามภายนอกและภายใน.ปัจจัยที่สร้างเสริมความสง่างามภายในตามที่ฮะดีษบ่งบอกไว้ก็คือความอดทนความสุขุมความยำเกรง...ฯลฯ
  • เราจะมั่นใจได้อย่างไร สำหรับผู้รู้ที่ตักเตือนแนะนำและกล่าวปราศรัย มีความเหมาะสมสำหรับภารกิจนั้น?
    7207 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/08/22
    ตามคำสอนของอิสลามที่มีต่อสาธารณชนคือ จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับความเข้าในคำสอนศาสนา ตนต้องค้นคว้าและวิจัยด้วยตัวเองเกี่ยวกับบทบัญญัติของศาสนา หรือให้เชื่อฟังปฏิบัติตามอุละมาอฺ และเนื่องจากว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ทั้งหมด กล่าวตนเข้าศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับคำสอนของศาสนา ด้วยเหตุนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่เขาต้องเข้าหาอุละมาอฺในศาสนา อิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ได้กำหนดมาตรฐานสำหรับการรู้จักผู้รู้ที่คู่ควรและเหมาะสมเอาไว้ว่า การได้ที่เราจะสามารถพบอุละมาอฺที่ดี บริสุทธิ์ และมีความเหมาะสมคู่ควร สำหรับชีอะฮฺแล้วง่ายนิดเดียว เช่น กล่าวว่า “ผู้ที่เป็นอุละมาอฺคือ ผู้ที่ปกป้องตัวเอง พิทักษ์ศาสนา เป็นปรปักษ์กับอำนาจฝ่ายต่ำของตน และเชื่อฟังปฏิบัติตามบัญชาของอัลลอฮฺ ฉะนั้น เป็นวาญิบสำหรับบุคคลทั่วไปที่จะต้องปฏิบัติตามเขา นอกจาคำกล่าวของอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) แล้วยังมีวิทยปัญญาอันล้ำลึกของผู้ศรัทธา ไม่ว่าเขาจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตามเขาจะใช้ประโยชน์จากมัน แม้ว่าจะอยู่ในหมู่ผู้ปฏิเสธศรัทธาก็ตาม ...
  • อยากทราบว่ามีหลักเกณฑ์ใดในการกำหนดวัยบาลิกของเด็กสาวและเด็กหนุ่ม?
    14676 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/16
    อิสลามได้กำหนดอายุบาลิกไว้เมื่อถึงวัยของการบรรลุนิติภาวะ กล่าวคือเมื่อบุคคลมีคุณลักษณะของการบรรลุนิติภาวะปรากฏขึ้น (ขั้นต่ำของลักษณะเหล่านี้คือการหลั่งอสุจิสำหรับเด็กหนุ่ม และประจำเดือนสำหรับเด็กสาว) ดังนั้น ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้ถึงวัยแห่งบาลิกแล้ว แต่ทว่าในศาสนาอิสลาม นอกจากคุณลักษณะเหล่านี้แล้ว ได้กำหนดบรรทัดฐานในด้านของอายุในการบาลิกให้กับเด็กหญิงและเด็กหนุ่มไว้ด้วย ดังนั้น หากเด็กหญิงหรือเด็กหนุ่มยังไม่มีลักษณะโดยธรรมชาติ แต่ถึงอายุที่ศาสนาได้กำหนดไว้สำหรับการบาลิกของเขาแล้ว เขาจะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของตน เฉกเช่นผู้บาลิกคนอื่น ๆ ดังนั้น ไม่ใช่ว่าชาวซุนนีจะถือว่าเด็กสาวถึงวัยบรรลุนิติภาวะตามหลักเกณฑ์ธรรมชาติ แต่ชีอะฮ์นับจาก 9 ปีแต่อย่างใด แต่ทว่าหากเด็กสาวมีรอบเดือนหรือตั้งครรภ์แล้ว ทุกมัซฮับถือว่าเธอบรรลุนิติภาวะแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่ถึงวัยที่ฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ได้กำหนดไว้สำหรับการบรรลุนิติภาวะก็ตามa ...
  • อัลลอฮฺ ทรงพึงพอพระทัยผู้ใด? บุคคลใดที่พระองค์ทรงพึงพอพระทัย, ผู้นั้นจะได้เป็นเจ้าของสรวงสวรรค์แห่งความโปรดปรานหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว โองการที่ 28 บทอันบิยาอฺที่กล่าวว่า : และพวกเขาจะมิให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใด, นอกจากผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย จะไม่ขัดแย้งกันดอกหรือ? อีกนัยหนึ่ง : เจ้าของสรวงสวรรค์แห่งความพึงพอพระทัย จะเข้ากันได้อย่างไรกับชะฟาอะฮฺ?
    9559 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/10/22
    อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงพึงพอพระทัยบุคคลที่มีศรัทธาและพึงปฏิบัติคุณงามความดี, เพียงแต่ว่าความศรัทธาและคุณงามความดีนั้นมีทั้งเข้มแข็งมั่นคงและอ่อนแอ อีกทั้งมีระดับชั้นที่แตกต่างกันออกไป, ความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเขาจึงแตกต่างกันออกไปด้วยสรวงสวรรค์ ก็เช่นเดียวกันถูกแบ่งไปตามระดับชั้นของความศรัทธา คุณภาพ และปริมาณของคุณงามความดีที่ชาวสวรรค์ได้สั่งสม ซึ่งระดับชั้นของสวรรค์ก็มีความแตกต่างกันออกไป ส่วน “สวรรค์ชั้นริฎวาน” คือสวรรค์ชั้นสูงที่สุด เจ้าของสวรรค์ชั้นนี้ได้แก่ บรรดาศาสดาทั้งหลาย, บรรดาตัวแทนและบรรดาหมู่มิตรของอัลลอฮฺ (ซบ.), ตลอดจนบรรดาผู้ใกล้ชิดอัลลอฮฺ ชนกลุ่มนี้ไม่ต้องการชะฟาอะฮฺแต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขาคือผู้ให้ชะฟาอะฮฺ และยังเป็นสักขีพยานในวันแห่งการฟื้นคืนชีพอีกต่างหาก. ด้วยเหตุนี้เอง วัตถุประสงค์ของประโยคที่ว่า “มะนิรตะฎอ” (ผู้ที่ได้รับความพึงพอพระทัยจากอัลลอฮฺ) ในโองการอัลกุรอานจึงไม่ใช่บุคคลที่เป็นเจ้าของสวรรค์ชั้นริฏวาน เพื่อว่าระหว่างตำแหน่งชั้นของพวกเขากับโองการจะได้ไม่ขัดแย้งกันอัลกุรอาน โองการดังกล่าวอยู่ในฐานะของการขจัดความสงสัยและความเข้าใจผิด ของบรรดาผู้ปฏิเสธที่วางอยู่บนความเข้าใจที่ว่า มลาอิกะฮฺจะให้ชะฟาอะฮฺแก่พวกเขา, เนื่องจากมลาอิกะฮฺคือเจ้าหน้าที่ของอัลลอฮฺ ซึ่งพวกเขาจะไม่ปฏิบัติสิ่งใดที่ขัดแย้งต่อบัญชาของพระองค์, พวกเขาจะให้ชะฟาอะฮฺแก่บุคคลผู้ซึ่ง ...
  • ฮุศ็อยน์ บิน นุมัยร์ (ตะมีม) เป็นใครมาจากใหน?
    6315 تاريخ بزرگان 2555/03/08
    حصين بن نمير ซึ่งออกเสียงว่า “ฮุศ็อยน์ บิน นุมัยร์” ก็คือคนเดียวกันกับ “ฮุศ็อยน์ บิน ตะมีม” หนึ่งในแกนนำฝ่ายบนีอุมัยยะฮ์ที่มาจากเผ่า “กินดะฮ์” ซึ่งจงเกลียดจงชังลูกหลานของอิมามอลีอย่างยิ่ง และมีส่วนร่วมในการสังหารฮะบี้บ บิน มะซอฮิร หนึ่งในสาวกของอิมามฮุเซน บิน อลีในวันอาชูรอ ปีฮ.ศ. 61 โดยได้นำศีรษะของฮะบี้บผูกไว้ที่คอของม้าเพื่อนำไปยังราชวังของ “อิบนิ ซิยาด” ...
  • ความตายคืออะไร และเราสามารถยึดเวลาความตายออกไปได้ไหม ?
    10427 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    ความตายในทัศนะของนักปรัชญาอิสลามหมายถึงจิตวิญญาณได้หยุดการบริหารและแยกออกจากร่างกายแน่นอนทัศนะดังกล่าวนี้ได้สะท้อนมาจากอัลกุรอานและรายงานซึ่งตัวตนของความตายไม่ใช่การสูญสิ้นส่วนในหลักการของอิสลามมีการตีความเรื่องความตายแตกต่างกันออกไปซึ่งทั้งหมดมีจุดคล้ายเหมือนกันอยู่ประการหนึ่งกล่าวคือความตายไม่ใช่ความสูญสิ้นหรือดับสูญแต่อย่างใดทว่าหมายถึงการเปลี่ยนหรือการโยกย้ายจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่งเนื่องจากมนุษย์นั้นประกอบไปด้วยร่างกายและจิตวิญญาณอีกอย่างหนึ่งความตายเท่ากับเป็นหยุดการทำงานของร่างกายภายนอกส่วนจิตวิญญาณได้โยกย้ายเปลี่ยนไปอยู่ยังปรโลกด้วยเหตุนี้ความตายจึงได้ถูกสัมพันธ์ไปยังมนุษย์
  • สร้อยนามหมายถึงอะไร? แล้ว “อบุลกอซิม”สร้อยนามของท่านนบีนั้นได้มาอย่างไร?
    11184 تاريخ بزرگان 2555/03/04
    ตามธรรมเนียมของชาวอรับแล้ว ชื่อที่มีคำว่า “อบู”(พ่อของ...) หรือ “อุมมุ”(แม่ของ...) นำหน้านั้น เรียกกันว่า “กุนียะฮ์” (สร้อยนาม) ในทัศนะของอรับเผ่าต่างๆนั้น ธรรมเนียมการตั้งสร้อยนามถือเป็นการยกย่องบุคคล ตัวอย่างสร้อยนาม อบุลกอซิม, อบุลฮะซัน, อุมมุสะละมะฮ์, อุมมุกุลษูม ฯลฯ[1] ศาสนาอิสลามก็ให้ความสำคัญแก่สร้อยนามเช่นกัน ฆ็อซซาลีกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “ท่านนบี(ซ.ล.)มักจะให้เกียรติเรียกเหล่าสหายด้วยสร้อยนามเพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรี ส่วนผู้ที่ไม่มีสร้อยนาม ท่านก็จะเลือกสร้อยนามให้เขา และจะเรียกสร้อยนามนั้น กระทั่งผู้คนก็เรียกตามท่าน แม้กระทั่งผู้ที่ไม่มีบุตรที่จะนำมาตั้งสร้อยนาม ท่านนบี(ซ.ล.)ก็จะตั้งให้เขา ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังตั้งสร้อยนามแก่เด็กๆด้วย อาทิเช่นเรียกว่าอบูนั้น อบูนี้ เพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับเด็กๆ”[2] รายงานจากอิมามริฎอ(อ.)ว่า إذا كان الرجل حاضرا فكنه و إن ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60187 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57647 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42264 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39471 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38988 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34047 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28056 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28041 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27879 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25864 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...