การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7893
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/10/01
คำถามอย่างย่อ
ควรจะตอบคำถามเด็กๆ อย่างไร เมื่อถามเกี่ยวกับอัลลอฮฺ?
คำถาม
ก่อนหน้านี้สองสามวัน บุตรสาวของกระผมได้ถามผมว่า พระเจ้าคืออะไร เราสามารถเห็นพระองค์ได้ไหม? ซึ่งการตอบคำถามเหล่านี้แก่เด็กๆ เป็นสิ่งอ่อนไหวมาก, โปรดแนะนำด้วย.
คำตอบโดยสังเขป

ไม่สมควรหลีกเลี่ยงคำถามต่างๆ ที่เด็กๆ ได้ถามเกี่ยวกับอัลลอฮฺ, ทว่าจำเป็นต้องตอบคำถามเหล่านั้นด้วยความถูกต้อง เข้าใจง่าย และมั่นคง,โดยอาศัยข้อพิสูจน์เรื่องความเป็นระบบระเบียบของโลก พร้อมคำอธิบายง่ายๆ ขณะเดียวกันด้วยคำอธิบายที่ง่ายนั้นต้องกล่าวถึงความโปรดปรานของพระเจ้าชนิดคำนวณนับมิได้ ซึ่งอยู่ร่ายรอบตัวเอรา นอกจากนั้นยังสามารถพิสูจน์คุณลักษณะบางประการของพระองค์ เช่น ความปรีชาญาณ, พลานุภาพ, และความเมตตาแก่เด็กๆ

คำตอบเชิงรายละเอียด

อิสลามได้ให้ความสำคัญด้านการอบรมสั่งสอนแก่เด็กและเยาวชนเป็นอย่างยิ่ง, ซึ่งเรามีรายงานเกินกว่า 1000 รายงานจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) ที่กล่าวเกี่ยวกับการอบรมสั่งสอน[1] เกี่ยวกับโปรแกรมอบรมสั่งสอนอิสลามแก่บรรดาลูกๆ ในครอบครัวนั้น ได้มีคำแนะนำเอาไว้เป็นขั้นตอนตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ช่วงตั้งครรภ์ และหลังคลอด

ซึ่งแน่นอนว่าความอยากรู้อยากเห็นของเด็กๆ โดยเฉพาะคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าและความเป็นเอกะของพระองค์ ได้ฝังอยู่ในสายเลือดนับตั้งแต่วันที่พวกเขาได้ลืมตาดูโลกแล้ว, ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า:  »เด็กทุกคนย่อมเกิดขึ้นมาบนธรรมชาติของอิสลาม, เว้นเสียแต่ว่าบิดามารดาของเขาจะทำให้เขาเป็นคริสต์หรือยะฮูดียฺ«[2] บิดามารดาของเด็กจะต้องมีศึกษาค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง และจะต้องล่วงรู้ถึงความคิดและความต้องการของเด็ก ๆ เพื่อจะได้สามารถตอบข้อซักถาม หรือข้อสงสัยของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเท่ากับว่าเราได้ก้าวสู่การอบรมสั่งสอนด้วยวิธีการที่ถูกด้วยเช่นกัน

แนวทางการอบรมสั่งสอนศาสนา:

1.การอบรมด้านความรู้ : บุคลิกภาพของบิดามารดาโดยตัวแล้วมีอิทธิพลต่ออุปนิสัยของเด็กๆ อย่างยิ่ง, ขณะที่อยู่ในบ้านหากผู้ปกครองเอาใจใส่ต่อหลักคำสอนของอิสลาม, เช่น นมาซตรงเวลาเสมอ, ให้ความสำคัญต่อศีลอด และวาญิบข้ออื่นๆ มุ่งมั่นปฏิบัติข้อบังคับเหล่านั้น, รำลึกถึงพระเจ้าเสมอ, เมื่อเริ่มรับประทานอาหารกล่าวบิสมิลลาฮฺ ก่อนเสมอ และเมื่อรับประทานเสร็จแล้ว กล่าวว่า อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ขอบคุณต่อความโปรดปรานของพระเจ้า จำนวนมากมายที่มิอาจคำนวณนับได้อยู่เป็นเนืองนิจ และ...ทั้งหมดเหล่านี้จะกลายเป็นบทเรียนด้านการรู้จักพระเจ้าแก่เด็กๆ โดยอัตโนมัติ สมองของเด็กเปรียบเสมือนกล้องถ่ายรูป ซึ่งจะคอยบันทึกภาพทุกชนิดที่มองเห็น ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นมุสตะฮับเมื่อเด็กๆ คลอดออกมาอันดับแรกให้กล่าว อะซาน ทางหูข้างขวา และกล่าวอิกอมะฮฺทางหูข้างซ้าย เพื่อให้เสียงพร่ำเรียก อัลลอฮุอักบัร บังเกิดผลสะท้อนกับเขานับตั้งแต่วัยทารกเป็นต้นไป และจะทำให้เขามักคุ้นกับคำว่าพระเจ้าผู้ทรงเอกะมากขึ้น

เด็กๆ ก่อนที่จะได้ยินและจดจำนั้น เขาจะเรียนรู้พฤติกรรมของมารดาด้วยการมองดูก่อน ด้วยเหตุนี้ จะเห็นว่ามาตรฐานการจดจำของเด็กจะอยู่ในช่วงที่เขามองเห็นก่อน มารดาจึงอยู่ในเงื่อนไขที่ค่อนข้างลำบากสำหรับการกล่าวประโยคบางประโยค เช่น ตะวักกัลป์ต่ออัลลอฮฺ ซึ่งคงต้องใช้ความพยายามพอสมควรมากกว่าปกติ ที่จะอธิบายให้เด็กๆ ได้เข้าใจความหมายของการมอบหมายความไว้วางใจต่ออัลลอฮฺ ด้วยคำพูด

2. สั่งสอนอัลกุรอาน: บรรดาผู้นำผู้บริสุทธิ์ได้แนะนำประชาชาติไว้ว่า จงสอนอัลกุรอานแก่บรรดาบุตรของตน, ท่านอิมามบากิร (อ.) กล่าวว่า : »จงสอนบุตรของตนให้อ่านอัลกุรอานบทยาซีนเถิด, เนื่องจากอัลกุรอานบทนี้คือ ดอกไม้แห่งสวรรค์«[3] แน่นอนว่า จุดประสงค์ของการสอนมิได้จำกัดอยู่แค่การท่องจำหรือการอ่านเพียงอย่างเดียว, ทว่าครอบคลุมถึงการสอนความเข้าใจความหมายด้วย. ซึ่งตรงนี้เราสามารถสอนหลักความศรัทธาอีกมากมายให้แก่เด็กๆ ได้ในเวลาเดียวกัน

3.การนำเด็กๆ เข้าร่วมในงานส่งเสริมด้านจิตวิญญาณ, เช่น พาไปมัสญิด, พิธีอ่านดุอาอฺ, เข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มศาสนาที่หน้าเชื่อถือ และ ...เพื่อเขาจะได้เห็นสิ่งเหล่านั้นใกล้ๆ ด้วยตาตนเอง และจะได้รับคำตอบอันเกิดจากคำถามจำนวนมากมาย จากบุคคลที่รอบรู้และเชื่อมั่นได้

4. คำตอบต่างๆ ที่ถูกต้องง่ายต่อคำถามของเด็กๆ : เนื่องจากเด็กๆ เป็นวัยที่อยากรู้อยากเห็น เมื่อเขาได้เห็นหรือได้ยินบางสิ่งบางอย่างก็จะเกิดข้อซักถามขึ้นมากมาย, คำถามด้านศาสนาของเด็กๆ ถือว่าเป็นก้าวเริ่มแรกของพวกเขาที่ก้าวไปสู่ความศรัทธาสมบูรณ์ ซึ่งผู้ปกครองจะต้องไม่มองข้ามคำถามเหล่านี้เด็ดขาด

พฤติกรรมของมารดาเมื่อเผชิญหน้ากับคำถามเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้า:

ก. จำเป็นต้องตอบคำถามเหล่านี้อย่างถูกต้อง ง่ายดาย และชัดเจน, ซึ่งตรงนี้มารดาสามารถอธิบายง่ายๆ โดยอาศัยความโปรดปรานต่างๆ ของอัลลอฮฺที่อยู่รายรอบตัวเราเป็นบรรทัดฐานในการตอบ, สามารถพิสูจน์อัลลอฮฺด้วยวิธีการที่ดีและง่ายที่สุด ด้วยคุณลักษณะบางประการของพระองค์ หรือด้วยกฎระเบียบของโลกที่มีอยู่และมองเห็นได้, ซึ่งทฤษฎีว่าด้วยความเป็นระเบียบของโลก เป็นทฤษฎีที่ง่ายที่สุดสำหรับการพิสูจน์พระเจ้า, ซึ่งทั้งอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซจำนวนมากมายได้ให้ความสำคัญต่อทฤษฎีดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทฤษฎีดังกล่าวเป็นความรู้ประจักษ์ ปราศจากข้อพิสูจน์เชิงปรัชญาอันสลับซับซ้อน, ด้วยเหตุนี้เอง ทุกคนจึงสามารถใช้ทฤษฎีนี้พิสูจน์ความจริงได้

ข.การพึ่งพาธรรมชาติ : โดยบ่งชี้ให้เห็นถึงการสร้างสรรค์ต่างๆ ของพระเจ้า ทำให้พวกเขาได้คุ้นเคยกับปาฏิหาริย์ต่างๆ ของพระองค์, แสดงให้เขาเห็นพลานุภาพของอัลลอฮฺในการสร้างสรรค์สรรพสิ่งทั้งในฟากฟ้า แผ่นดิน และน่านน้ำ

โองการอัลกุรอาน จำนวนมากมาย เชิญชวนมนุษย์ไปสู่การคิดใคร่ครวญในธรรมชาติ, เช่น อัลกุรอานบางโองการกล่าวว่า : »และพระผู้อภิบาลของเจ้าทรงดลใจแก่ผึ้งว่า เจ้าจงทำรังตามภูเขาและตามต้นไม้ และตามที่พวกเขาทำร้านขึ้น แล้วเจ้าจงกินจากผลไม้ทั้งหลาย แล้วจงดำเนินตามทางของพระผู้อภิบาลของเจ้า โดยถ่อมตัว มีเครื่องดื่ม (น้ำผึ้ง) หลากสีออกมาจากท้องของผึ้ง ในนั้นมีสิ่งบำบัดแก่ปวงมนุษย์«[4] ทำนองเดียวกันอัลกุรอานเชิญชวนมนุษย์ให้พิจารณาการสร้างอูฐ ท้องฟ้าต่างๆ ภูเขาทั้งหลาย และแผ่นดิน และ ..โองการกล่าวว่า : »พวกเขาไม่พิจารณาดูอูฐดอกหรือว่า มันถูกบังเกิดมาอย่างไร ท้องฟ้ามันถูกยกให้สูงขึ้นอย่างไร ภูเขามันถูกปักตั้งไว้อย่างไร และแผ่นดินมันถูกแผ่ราบเรียบไว้อย่างไร«[5] ดังนั้น ความมหัศจรรย์ของสิ่งถูกสร้างของพระเจ้า ถ้าหากได้อธิบายด้วยคำพูดง่ายๆ จะทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้จักพระเจ้าได้ในระดับหนึ่ง

ค. คำตอบจำนวนมากมายต่อคำถามทั้งหลายของเด็กๆ สามารถเรียนรู้ได้จากอัลกุรอาน เช่น ถ้าหากลูกของท่านถามว่า พระเจ้าเป็นใคร ท่านสามารถตอบข้อสงสัยของเขาได้ด้วยโองการนี้ว่า : »อัลลอฮฺคือ ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และทรงให้น้ำลงมาจากชั้นฟ้า และทรงให้พืชผลงอกเงยออกมาโดยนัยนั้น[6]« จงกล่าวแก่พวกเขาว่า »พระองค์ทรงเมตตายิ่งในหมู่ผู้เมตตาทั้งหลาย«[7] และพยายามอธิบายให้มองเห็นภาพความเมตตาปรานีของพระเจ้า

ง.จงอธิบายแก่พวกเขาให้รู้ว่า ยังมีสรรพสิ่งอีกจำนวนมากมายที่มีอยู่บนโลกนี้ แต่ตาเรามองไม่เห็น, เช่น อากาศ สติปัญญา, ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นได้, แน่นอน อัลลอฮฺ ทรงมีอยู่, แต่สายตามนุษย์ไม่อาจมองเห็นพระองค์ได้ : »สายตาทั้งหลายมองไม่เห็นพระองค์ แต่พระองค์ทรงเห็นสายตาเหล่านั้น«[8]

จ. อธิบายเรื่องเล่าต่างๆ ที่เหมาะสมในศาสนา : เนื่องจากเด็กๆ นั้นชอบเรื่องเล่าต่างๆ เป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งผู้ปกครองสามารถนำเรื่องเล่าในอัลกุรอาน และสาส์นต่างๆ ของศาสนา ถ่ายทอดแก่พวกเขาทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เช่น เรื่องราวของศาสดาอิบรอฮีม ช่วงที่ท่านวิภาษกับบรรดาผู้ตั้งภาคีเทียบเทียม ซึ่งท่านศาสดาได้ใช้เหตุผลง่ายๆ ในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าและความเป็นหนึ่งเดียวของพระองค์

ฉ. ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของเด็กๆ เอง : สำหรับการกำหนดความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนา และความต้องการของเราที่มีต่อสิ่งเหล่านั้น สามารถใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของเด็กๆ ได้ เช่น ตั้งคำถามจากโปรแกรมประจำสัปดาห์ เพื่อสร้างให้เด็กๆ เข้าใกล้จุดประสงค์มากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นค่อยหาบทสรุป แล้วนำเสนอโปรแกรมที่อัลลอฮฺทรงประทานผ่านบรรดาศาสดา ในนามของศาสนาแก่พวกเขา

สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือดังต่อไปนี้ :

1.โคดาเชนอซี กุรอานนี กูเดกอน, ฆุล่ามเรซอ ฮัยดะรียฺ อับฮะรียฺ.

2. คอนนะวอเดะฮฺ ดัร อิสลาม, ฮุซัยนฺ มะซอเฮรียฺ

3. ดะฮ์ ดัรซ์ โคดาเชนอซี บะรอเยะ ญะวอนอน, นอซิร มะการิม ชีรอซี

 


[1] ครอบครัวในอิสลาม, ฮุซัยนฺ มะซอเฮรี, หน้า 121.

[2] สะฟีนะตุลบิฮาร, เล่ม 2, หน้า 372.

[3] มุสตัดร็อก อัลวะซาอิล, เล่ม 4, หน้า 325.

[4] อัลกุรอาน บทอันนะฮฺลุ, 68,69.

[5] فَلَا يَنظُرُونَ إِلىَ الْابِلِ كَيْفَ خُلِقَتْ* وَ إِلىَ السَّمَاءِ كَيْفَ رُفِعَتْ* وَ إِلىَ الجِْبَالِ كَيْفَ نُصِبَتْ* وَ إِلىَ الْأَرْضِ كَيْفَ سُطِحَتْอัลกุรอาน บทฆอชิยะฮฺ, 17-20.

[6] อัลกุรอาน บทอิบรอฮีม, 32.

[7] อัลกุรอาน บทยุซุฟ, 64.

[8] อัลกุรอาน บทอันอาม, 103.

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • การสมรสจะช่วยส่งเสริมหรือเป็นตัวยับยั้งพัฒนาการทางศีลธรรมกันแน่? ศาสนาอิสลามและคริสต์เห็นต่างในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?
    6672 ปรัชญาของศาสนา 2554/09/11
    การสมรสเปรียบดั่งศิลาฤกษ์ของสังคมซึ่งมีคุณประโยชน์มากมายอาทิเช่นเพื่อบำบัดกามารมณ์สืบเผ่าพันธุ์มนุษย์เสริมพัฒนาการของมนุษย์ความร่มเย็นและระงับกิเลสตัณหาฯลฯในปริทรรศน์ของอิสลามการสมรสได้รับการเชิดชูในฐานะเกราะป้องกันกึ่งหนึ่งของศาสนาในเชิงสังคมการสมรสมีคุณประโยชน์อย่างเอนกอนันต์เนื่องจากจะเสริมสร้างครอบครัวให้เป็นดั่งรวงรังอันอบอุ่นที่คนรุ่นหลังสามารถพึ่งพิงได้
  • กฎเกณฑ์ทางศาสนบัญญัติกล่าวว่าอย่างไร เกี่ยวกับการถอนคิ้วของสตรี?
    14374 สิทธิและกฎหมาย 2556/01/24
    การถอนคิ้วของสตรีโดยหลักการแล้วไม่เป็นไร ตามหลักการอิสลามภรรยาจะเสริมสวยและแต่งตัวเพื่ออวดสามี ถือว่าเป็นมุสตะฮับ ในทางตรงกันข้ามภรรยาที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่เสริมสวยเพื่ออวดสามี ย่อมได้รับคำประณาม ด้วยเหตุนี้เอง บรรดานักปราชญ์ฝ่ายชีอะฮฺ ฟุเกาะฮา นอกจากจะแนะนำเหล่าสตรีในใส่ใจต่อปัญหาดังกล่าวแล้ว ยังเตือนสำทับด้วยว่าการโอ้อวดสิ่งนั้นแก่ชายอื่นถือว่าฮะรอม ไม่อนุญาตให้กระทำ สตรีต่างมีหน้าที่ปกปิดสิ่งประดับและเรือนร่างของเธอให้พ้นจากสายตาของชายอื่น ...
  • ฮะดีษต่อไปนี้น่าเชื่อถือเพียงใด “อสุจิที่ปฏิสนธิในคืนอีดกุรบานจะเติบโตเป็นทารกที่มี 6 นิ้ว”?
    7091 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/15
    ในบทฮะดีษที่ท่านนบี(ซ.ล.)สอนท่านอิมามอลี(อ.)เกี่ยวกับข้อพึงปฏิบัติและข้อพึงหลีกเลี่ยงของการร่วมหลับนอนท่านนบีกล่าวว่า “จงงดการร่วมหลับนอนกับภรรยาในคืนอีดกุรบานเนื่องจากอสุจิที่ปฏิสนธิในค่ำคืนนี้จะกำเนิดเป็นทารกที่มี 4 หรือ6นิ้ว”[1]ฮะดีษนี้นอกจากจะปรากฏในหนังสือฮิลยะตุลมุตตะกีนแล้วยังปรากฏในหนังสือญามิอุ้ลอัคบ้ารประพันธ์โดยตาญุดดีนอัชชะอีรีและหนังสือมะการิมุ้ลอัคล้ากประพันธ์โดยเราะฎียุดดีนฮะซันบินฟัฎล์เฏาะบัรซีอีกด้วยอย่างไรก็ตามในแง่สายรายงานจัดอยู่ในฮะดีษที่มีสายรายงานไม่ต่อเนื่องเมื่อพิจารณาเนื้อหาฮะดีษก็พอจะกล่าวได้ว่าการร่วมหลับนอนและการปฏิสนธิที่เกิดขึ้นในค่ำคืนอีดกุรบ้านนั้นถือเป็นหนึ่งในเหตุที่ทำให้ทารกพิการมีสี่หรือหกนิ้วแต่มิได้เป็นเหตุอันสมบูรณ์ของปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงยังเห็นได้ว่าเด็กบางคนที่ปฏิสนธิในค่ำคืนดังกล่าวมิได้พิการเสมอไปในทางกลับกันผู้ที่พิการมีสี่หรือหกนิ้วก็มิได้หมายความว่าปฏิสนธิในคืนอีดกุรบานทุกคนสรุปคือถึงแม้ว่าฮะดีษข้างต้นจะไม่มีความต่อเนื่องในแง่สายรายงานอีกทั้งไม่อาจจะฟันธงว่าการร่วมหลับนอนในคืนอีดกุรบานคือเหตุอันสมบูรณ์ของการพิการดังกล่าวแต่อย่างไรก็ดีสามารถถือเป็นข้อพึงระวังที่สำคัญได้เพื่อมิให้ประสบกับเหตุไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิดขึ้นกับทารก[1] قال رسول الله ص :".... یا علی لا تجامع مع أهلک فی لیلة الأضحى فإنه إن قضی بینکما ...
  • เหตุใดท่านอิมามอลี(อ.)จึงวางเฉยต่อการหมิ่นประมาทท่านหญิงฟาฏิมะฮ์?
    7818 ประวัติหลักกฎหมาย 2554/10/09
    การที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ถูกทุบตีมิได้ขัดต่อความกล้าหาญของท่านอิมามอลี(อ.) เพราะในสถานการณ์นั้นท่านต้องเลือกระหว่างการจับดาบขึ้นสู้เพื่อทวงสิทธิของครอบครัวที่ถูกละเมิดหรือจะอดทนสงวนท่าทีแล้วหาทางช่วยเหลืออิสลามด้วยวิธีอื่นจากการที่การจับดาบขึ้นสู้ในเวลานั้นเท่ากับการต่อต้านและสร้างความแตกแยกในหมู่มุสลิมอันจะทำให้สังคมมุสลิมยุคแรกอ่อนเปลี้ยส่งผลให้กองทัพโรมันเหล่าศาสดาจอมปลอมและผู้ตกศาสนาจ้องตะครุบให้สิ้นซากท่านอิมามอลี(อ.)ยอมสละความสุขของตนและครอบครัวเพื่อผดุงไว้ซึ่งอิสลามศาสนาที่เป็นผลงานคำสอนทั้งชีวิตของท่านนบี(ซ.ล.)และการเสียสละของเหล่าชะฮีดในสมรภูมิต่างๆ ...
  • การยกภูเขาฏู้รขึ้นเหนือศีรษะบนีอิสรออีลหมายความว่าอย่างไร?
    7400 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/04/02
    ในหลายโองการมีสำนวน وَ رَفَعْنا فَوْقَكُمُ الطُّور ปรากฏอยู่ ซึ่งล้วนเกี่ยวกับบนีอิสรออีลทั้งสิ้น ตำราอรรถาธิบายกุรอานอธิบายว่าโองการเหล่านี้กล่าวถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากความดื้อรั้นของบนีอิสรออีลในยุคของท่านนบีมูซา(อ.) อัลลอฮ์ย่อมมีพลานุภาพที่จะยกภูเขาฏู้รบางส่วนให้ลอยขึ้นเหนือศีรษะของบนีอิสรออีล ดังที่ทรงเคยสร้างดวงดาวนับล้านๆดวง สร้างจักรภพและจักรวาลให้เคลื่อนที่ในอวกาศโดยมีระยะห่างที่เหมาะสม การที่จะเกิดเหตุการณ์ดังที่กุรอานเล่าไว้จึงไม่ไช่เรื่องเหลือเชื่อในแง่วิทยาศาสตร์และสติปัญญา ...
  • ใบหน้าของอิมามมะฮ์ดี(อ.)จะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาหรือไม่?
    14268 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/20
    ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)ถือกำเนิดในปีฮ.ศ.255 หากเทียบกับปีนี้ซึ่งเป็นปีฮ.ศ.1432 ก็จะทราบว่าอายุของท่านเมื่อถึงวันที่15 ชะอ์บานในปีนี้ก็คือ 1177  ปี ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)ได้เผยกายเพื่อทำพิธีนมาซมัยยิตให้บิดาหลังจากที่ถูกวางยาพิษ ผู้คนต่างได้ยลโฉมท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)โดยสาธยายว่าท่านเป็นเด็กหนุ่มที่มีผิวสีน้ำผึ้ง มีผมหยักโศก และมีช่องว่างเล็กน้อยระหว่างฟันหน้า[1]มีฮะดีษสองประเภทที่เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของท่านก. กลุ่มฮะดีษที่ไม่ระบุอายุขัยของท่าน โดยกล่าวเพียงว่าท่านยังแลดูหนุ่ม1. شابٌ بعد کبر السن ท่านยังหนุ่มแม้จะสูงอายุ[2]2. رجوعه من غیبته بشرخ الشباب ท่านจะปรากฏกายในรูปของคนหนุ่มที่อ่อนกว่าวัย
  • อะไรคือเหตุผลที่ต้องชำระคุมุสตามทัศนะชีอะฮ์ ต้องนำจ่ายแก่ผู้ใด และเหตุใดพี่น้องซุนหนี่จึงไม่ปฏิบัติ?
    8804 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/28
    1. โองการที่กล่าวถึงศาสนกิจโดยเฉพาะนั้นมีไม่มากเมื่อเทียบกับกุรอานทั้งเล่มเนื่องจากกุรอานจะกล่าวถึงหัวข้อศาสนกิจอย่างกว้างๆเช่นนมาซศีลอด ...ฯลฯและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านนบี(
  • การให้การเพื่อต้อนรับเดือนมุฮัรรอม ตามทัศนะของชีอะฮฺถือว่ามีความหมายหรือไม่?
    7627 สิทธิและกฎหมาย 2554/12/20
    การจัดพิธีกรรมรำลึกถึงโศกนาฏกรรมของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ถือเป็นซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ซึ่งได้รับการสถาปนาและสนับสนุนโดยบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.)
  • ข้อแตกต่างระหว่างมะอ์นะวียัตในอิสลามและคริสตศาสนา
    7040 เทววิทยาใหม่ 2554/10/24
    คุณค่าของมะอ์นะวียัตของแต่ละศาสนาขึ้นอยู่กับคุณค่าของศาสนานั้นๆคำสอนของคริสตศาสนาบางประการขัดต่อสติปัญญาโดยที่ชาวคริสเตียนเองก็ยอมรับเช่นนั้นมะอ์นะวียัตที่ได้จากคำสอนเช่นนี้ก็ย่อมมีข้อผิดพลาดเป็นธรรมดาและนี่คือข้อแตกต่างหลักระหว่างมะอ์นะวียัตของอิสลามและคริสตศาสนากล่าวคือโดยพื้นฐานแล้วมะอ์นะวียัตของคริสต์ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้เมื่อพิจารณาถึงแหล่งเนื้อหาที่มีบางจุดขัดต่อสติปัญญาทำให้ไม่สามารถจะนำพาสู่ความผาสุกได้อย่างไรก็ดีสภาพมะอ์นะวียัตของตะวันตกในปัจจุบันย่ำแย่ไปกว่ามะอ์นะวียัตดั้งเดิมของคริสตศาสนาเสียอีกในขณะที่มะอ์นะวียัตของอิสลามนั้นได้รับอิทธิพลจากคำสอนจากวิวรณ์
  • กรุณาอธิบายถึงแก่นอันเป็นพื้นฐานหลักของแนวคิดชีอะฮฺ พร้อมกับคุณลักษณะต่างๆ?
    19179 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    พื้นฐานแนวคิดหลักของชีอะฮฺและวิชาการทั้งหมดของชีอะฮฺได้รับจากอัลกุรอาน อัลกุรอานไม่ว่าจะเป็นความหมายภายนอกโองการหรือภายใน,หรือแม้แต่การนิ่งเฉยหรือการแสดงออกของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) ถือว่าเป็นข้อพิสูจน์และเหตุผลทั้งสิ้นและผลของสิ่งเหล่านี้,คำพูดการนิ่งเฉยและการกระทำของอิมาม (อ.) ก็เป็นเหตุผลด้วย นอกจากอัลกุรอานแล้วยังถือว่าการพิสูจน์ด้วยสติปัญญาก็เป็นเหตุผลด้วยเหมือนกันซึ่งการค้นคว้าได้รับการสนับสนุนและเน้นย้ำไว้อย่างยิ่ง แนวทางในการได้รับแนวคิดเช่นนี้สามารถกล่าวสรุปได้ดังนี้ 1. มีความเชื่อในความเป็นเอกะของพระเจ้าผู้ทรงสูงส่งอาตมันบริสุทธิ์ของพระองค์บริสุทธิ์จากความบกพร่องและคุณลักษณะไม่สมบูรณ์ต่างๆ,พระองค์พรั่งพร้อมด้วยคุณลักษณะสมบูรณ์ทั้งหลายทั้งปวง 2. มีความเชื่อในเรื่องความดีและความชั่วของภูมิปัญญากล่าวคือภูมิปัญญารับรู้ว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์จากกระทำสิ่งชั่วร้าย 3. มีความเชื่อในเรื่องความบริสุทธิ์ของบรรดาศาสดาแห่งพระเจ้าและบรมศาสดาท่านสุดท้าย 4. มีความเชื่อว่าการแต่งตั้งและการกำหนดตัวแทนของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ต้องมาจากพระเจ้าเท่านั้นโดยผ่านศาสดาหรืออิมามคนก่อนหน้านั้นจำนวนตัวแทนของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มี 12 คนบุคคลแรกจากพวกเขาคือท่านอิมามอะลีบุตรของอบีฏอลิบ (อ.) ส่วนคนสุดท้ายจากพวกเขาคือท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ซึ่งณปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่รอคอยพระบัญชาจากพระเจ้าให้ปรากฏกายออกมา 5. มีความเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตายการได้รับรางวัลตอบแทนและการลงโทษในการกระทำ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60392 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57950 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42488 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39774 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39142 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34249 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28292 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28219 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28157 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26098 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...