การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8635
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/06/28
 
รหัสในเว็บไซต์ fa986 รหัสสำเนา 14817
คำถามอย่างย่อ
อะไรคือเหตุผลที่ต้องชำระคุมุสตามทัศนะชีอะฮ์ ต้องนำจ่ายแก่ผู้ใด และเหตุใดพี่น้องซุนหนี่จึงไม่ปฏิบัติ?
คำถาม
อัสลามุอลัยกุม เพราะเหตุใดครึ่งหนึ่งของเงินคุมุสจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของซัยยิด คุมุสมิไช่เรื่องที่ชีอะฮ์กุขึ้นหรอกหรือ เพราะแม้ในกุรอานเองยังกล่าวถึงคุมุสเพียงโองการเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องซุนหนี่ที่เคร่งครัดต่อสุนัตท่านนบี ยังไม่เห็นมีใครรู้เรื่องคุมุสเลย แต่โดยส่วนตัวก็เชื่อว่าคุมุสมีประโยชน์ในการควบคุมทรัพย์สินและช่วยลดช่องว่างชนชั้นในสังคมได้เป็นอย่างดี
คำตอบโดยสังเขป

1. โองการที่กล่าวถึงศาสนกิจโดยเฉพาะนั้น มีไม่มากเมื่อเทียบกับกุรอานทั้งเล่ม เนื่องจากกุรอานจะกล่าวถึงหัวข้อศาสนกิจอย่างกว้างๆเช่น นมาซ ศีลอด ...ฯลฯ และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านนบี(..)และตัวแทนของท่านที่จะอธิบายกฏเกณฑ์และเงื่อนไขปลีกย่อย จะเห็นได้จากการที่กุรอานเองก็กล่าวถึงกฏเกณฑ์ของศาสนกิจสำคัญอย่างการถือศีลอด,ฮัจย์ไว้เพียงเล็กน้อย และยังเหลือข้อปลีกย่อยอีกมากที่กุรอานมิได้อธิบาย กรณีคุมุสก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
2. เกี่ยวกับโองการคุมุส(อันฟาล:41) อุละมาอ์ฝ่ายซุนหนี่ต่างแสดงทัศนะกันอย่างเต็มที่ จากฮะดีษบางบทในตำราของพวกเขา ทำให้ฝ่ายซุนหนี่เองก็ยอมรับว่ามีการจ่ายคุมุสในสมัยท่านนบีจริง ทุกวันนี้ข้อแตกต่างระหว่างฝ่ายซุนหนี่กับชีอะฮ์มิไช่เรื่องการยอมรับหลักการคุมุสหรือไม่ หากแต่เป็นข้อแตกต่างทางรายละเอียดเสียมากกว่า
3. เหตุผลที่นำจ่ายคุมุสครึ่งหนึ่งแก่บรรดาซัยยิด(ลูกหลานนบี)นั้น ก็เพราะอัลลอฮ์ทรงห้ามมิให้บุคคลกลุ่มนี้รับทานซะกาตและเศาะดะเกาะฮ์. เมื่อยังมีซัยยิดที่ขัดสนอยู่ในสังคม กอปรกับความจำเป็นที่ต้องรักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิของท่านนบี(..) จึงอนุญาตให้บุคคลกลุ่มนี้รับเงินคุมุสได้

คำตอบเชิงรายละเอียด

คุมุสถือเป็นศาสนกิจภาคบังคับประเภทหนึ่งในอิสลาม โดยที่กุรอานผูกโยงการมีศรัทธาไว้กับการชำระคุมุสจงทราบเถิด สิ่งที่สูเจ้าได้รับผลกำไรมานั้น เศษหนึ่งส่วนห้าเป็นกรรมสิทธิของอัลลอฮ์ และเราะซู้ล และเครือญาติ และลูกกำพร้า และผู้ขัดสน และผู้พลัดถิ่น หากสูเจ้ามีศรัทธาต่ออัลลอฮ์...”[1]
กุรอานมักจะกล่าวย้ำเกี่ยวกับเตาฮีด วันกิยามะฮ์ และสภาวะการเป็นเราะซู้ลอยู่บ่อยครั้ง ในขณะที่กล่าวถึงกฏเกณฑ์ศาสนกิจค่อนข้างน้อย ว่ากันว่ามีโองการประเภทนี้เพียง 500 โองการเท่านั้น ซึ่งหากตัดโองการที่ซ้ำหรือคล้ายคลึงกันออกไป ก็จะเหลือเพียงไม่กี่ร้อยโองการ[2] ในขณะที่กฏเกณฑ์และรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆของศาสนกิจแต่ละประเภทนั้น มีจำนวนมากกว่าโองการเหล่านี้หลายเท่าทวีคูณ ด้วยเหตุนี้เอง ในกรณีที่บทบัญญัติศาสนกิจใดไม่มีโองการกุรอานระบุไว้ ผู้รู้ศาสนาทุกแขนงมัซฮับจึงต้องหาคำตอบโดยอาศัยหลักฐานจากฮะดีษที่เชื่อถือได้.

ฉะนั้น เมื่อพิจารณาจากการที่ศาสตร์แห่งฟิกเกาะฮ์มีความหลากหลายมากขึ้น กอปรกับการที่มีฮะดีษจากท่านนบี(..)และบรรดาอิมาม(.)มากมายที่สามารถตอบปัญหาทางศาสนกิจได้ เมื่อนั้น หากพบว่ากุรอานกล่าวเกี่ยวกับคุมุสเพียงโองการเดียว ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดอีกต่อไป เพราะสามารถศึกษากฏเกณฑ์รายละเอียดได้จากฮะดีษที่มีความน่าเชื่อถือจากบรรดาอิมาม() หรืออีกตัวอย่างก็คือ การที่กุรอานกล่าวถึงศาสนกิจสำคัญๆ อย่างการถือศีลอดและการทำฮัจย์ไว้เพียงสามถึงสี่โองการเท่านั้น[3] รายละเอียดปลีกย่อยของรุก่นอิสลามอย่างการนมาซก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงในกุรอาน ผู้รู้ของทุกมัซฮับจึงต้องศึกษาเพิ่มเติมจากฮะดีษเพื่อให้แตกฉาน อย่างไรก็ดี แม้กุรอานจะกล่าวถึงคุมุสเพียงโองการเดียว แต่เป็นโองการที่ชัดเจนและครอบคลุมเนื้อหาสำคัญได้เป็นอย่างดี.

ท่านอัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอี อธิบายโองการดังกล่าวไว้ว่าغنمหรือغنیمهนั้น หมายถึงการได้มาซึ่งรายได้ ไม่ว่าจะด้วยการค้าขาย งานช่างฝีมือ หรือจากการสงคราม[4] และแม้ว่าในโองการจะกล่าวถึงสินสงครามก็จริง แต่กรณีตัวอย่างไม่อาจจะเจาะจงความหมายของคำๆหนึ่งได้[5] ฉะนั้น ความหมายของคำดังกล่าวยังคงเป็นความหมายเชิงกว้าง และจากรูปประโยคในโองการทำให้เข้าใจได้ว่าหมายถึงทุกสิ่งที่เรียกว่าผลกำไรได้ อันนอกเหนือจากสินสงครามแล้ว การทำเหมืองแร่ กรุสมบัติ ไข่มุกที่ต้องดำน้ำลงไปเก็บ และ... อิมามญะว้าด(.)กล่าวว่าสินสงครามและผลกำไรที่พวกท่านได้มา จะต้องชำระคุมุสหลังจากนั้นท่านได้อัญเชิญโองการคุมุส[6]
ฉะนั้น แม้ว่ากุรอานจะกล่าวถึงเพียงกรณีของสินสงคราม แต่อิมาม(.)ได้อธิบายเพิ่มเติมถึงผลกำไรประเภทอื่นด้วย อัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอีกล่าวว่า“...ทัศนะที่ว่าคุมุสมิได้จำกัดเฉพาะสินสงครามนั้น เราได้มาจากฮะดีษมากมายในระดับมุตะวาติร(เชื่อถือได้)”[7]

ส่วนคำว่าذی القربیนั้น หมายถึงเครือญาติใกล้ชิด ซึ่งในโองการนี้หมายถึงเครือญาติของท่านนบี(..) ซึ่งฮะดีษบางบทระบุชัดเจนว่าหมายถึงบุคคลบางกลุ่มในหมู่เครือญาตินบี(..)มิไช่ทั้งหมด.[8]
มีฮะดีษในขุมตำราฝ่ายซุนหนี่มากมายที่ระบุว่า มีการแจกจ่ายคุมุสในสมัยท่านนบี(..)จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตท่าน สุยูฏีรายงานจากอิบนิ อบี ชัยบะฮ์ ซึ่งรายงานจาก ญุบัยร์ บิน มุฏอิมว่าท่านนบีได้แจกจ่ายส่วนของซิลกุ้รบา”(เครือญาตินบี) แก่บนีฮาชิมและลูกหลานอับดุลมุฏ็อลลิบ ฉันและอุษมาน บิน อัฟฟานจึงเดินเข้าไปหาท่านพร้อมกับกล่าวว่า ท่านจะแจกให้ลูกหลานอับดุลมุฏ็อลลิบซึ่งเป็นพี่น้องของเรา โดยที่ไม่แจกให้เราบ้างกระนั้นหรือ? ทั้งๆที่เราและพวกเขาเป็นเครือญาติชั้นเดียวกัน ท่านนบีตอบว่าพวกเขา(บนีฮาชิม)ไม่เคยหนีห่างจากเราทั้งยุคญาฮิลียะฮ์และยุคอิสลาม[9]

ตำราฟิกเกาะฮ์ของฝ่ายซุนหนี่ล้วนมีเนื้อหาเกี่ยวกับคุมุสทั้งสิ้น บางเล่มแทรกในหมวดของซะกาต ส่วนบางเล่มแทรกไว้ในหมวดญิฮาด. กอฎี อิบนุ รุชด์(เสียชีวิต 595..) กล่าวไว้หลังแจกแจงทัศนะฝ่ายซุนหนี่เกี่ยวกับคุมุสว่ายังมีทัศนะที่ขัดแย้งกันในหมู่สหาย(ผู้รู้อะฮ์ลิสซุนนะฮ์)ว่าบุคคลกลุ่มใหนจึงจะเรียกว่าซิลกุรบาบ้างกล่าวว่าหมายถึงบนีฮาชิมเท่านั้น บ้างเชื่อว่าบนีฮาชิมและบนีอับดุลมุฏ็อลลิบ อย่างไรก็ดี ฮะดีษของญุบัยร์ บิน มุฏอิมคือแหล่งอ้างอิงของทัศนะที่สอง.”[10]

สรุปเบื้องต้นได้ว่า คุมุสมิไช่ประเด็นที่กุขึ้นโดยชีอะฮ์แต่ประการใด ข้อแตกต่างหลักระหว่างทัศนะชีอะฮ์และซุนหนี่เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ ชีอะฮ์เชื่อว่าบทบัญญัติคุมุสยังคงบังคับใช้เช่นเดิม เนื่องจากเครือญาติของท่านนบีที่เดือดร้อนขัดสนยังมีอยู่ในสังคม อิมามชาฟิอีก็เชื่อว่าคุมุสในส่วนของซิลกุรบามิได้ถูกยกเลิกภายหลังนบีวะฝาตเช่นกัน.[11]

ส่วนเหตุผลที่ต้องชำระคุมุสและแบ่งครึ่งหนึ่งให้แก่บุคคลที่เป็นซัยยิด(เชื้อสายนบี):
1.
ในสังคมมุสลิม ผู้นำจะต้องมีงบประมาณไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อธำรงค์ไว้ซึ่งศาสนาของอัลลอฮ์ บังคับใช้กฏหมายของพระองค์ และบริหารสังคมให้อยู่เย็นเป็นสุข ผู้นำสังคมอย่างท่านนบี(..) บรรดาอิมาม(.) และเหล่าอุละมาอ์ซึ่งเป็นตัวแทนในยุคที่อิมามเร้นกายนั้น ล้วนแล้วแต่มีค่าใช้จ่ายเพื่อกิจการสาธารณะเช่น ช่วยเหลือผู้ยากไร้ สร้างและดูแลมัสญิด จัดทัพออกสงคราม และกิจกรรมการกุศลอื่นๆ ซึ่งงบประมาณส่วนนี้ได้รับมาจากคุมุส ดังที่ท่านอิมาม(.)กล่าวว่าคุมุสช่วยให้เราทำนุบำรุงศาสนาของพระองค์ได้[12]
2. 
คุมุสช่วยพัฒนาจิตวิญญาณให้สมบูรณ์ เนื่องจากผู้ที่ชำระคุมุสตั้งเจตนาปลีกตัวจากกิเลศ และมุ่งแสวงหาความพอพระทัยจากอัลลอฮ์อันเป็นความไพบูลย์สูงสุด.[13]

ส่วนสาเหตุที่ต้องแบ่งคุมุสครึ่งหนึ่งให้แก่เหล่าซัยยิดนั้น เบื้องต้นต้องคำนึงว่าทั้งคุมุสและซะกาตล้วนเป็นภาษีสำหรับรัฐอิสลามทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพื่อแบ่งสรรงบประมาณอย่างเป็นธรรม และช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคม อย่างไรก็ดี ยังมีข้อแตกต่างระหว่างคุมุสกับซะกาตตรงที่ว่า ซะกาตถือเป็นทรัพย์สินส่วนรวม การจำหน่ายงบประมาณจึงเป็นไปตามจุดประสงค์เพื่อสาธารณะเป็นหลัก ส่วนคุมุสนับเป็นภาษีที่หล่อเลี้ยงรัฐอิสลามโดยตรง ค่าใช้จ่ายของรัฐและผู้ดำเนินการจะได้จากส่วนนี้ เมื่อทราบดังนี้จึงเข้าใจได้ว่า การที่บรรดาซัยยิดถูกห้ามไม่ให้รับซะกาตก็ถือเป็นมาตรการที่ต้องการแยกลูกหลานศาสดาออกจากทรัพย์สินส่วนนี้ เพื่อไม่ให้ศัตรูสร้างข้อครหาได้ว่านบีมุฮัมมัด(..)จัดแจงให้ลูกหลานของตนเข้าไปแทรกแซงทรัพย์สินส่วนรวม แต่อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าในหมู่ซัยยิดก็มีผู้ขัดสนอยู่เช่นกัน ซึ่งก็ต้องได้รับการช่วยเหลือเหมือนคนอื่นๆ สรุปคือ การได้รับคุมุสมิไช่การปฏิบัติสองมาตรฐานเพื่อยกยอซัยยิด แต่เป็นเพียงมาตรการที่ตราไว้เพื่อไม่ให้เป็นข้อครหาในภายหลัง[14] เป็นไปได้อย่างไรที่อิสลามพร้อมที่จะจ่ายงบประมาณซะกาตเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ทั่วไป แต่กลับปล่อยลูกหลานนบีให้อดอยากปากแห้งโดยไม่เหลียวแล?! ฉะนั้นหลักการคุมุสจึงมิไช่สิทธิพิเศษเพื่อสรรเสริญเยินยอชนชั้นซัยยิด ทั้งนี้เพราะในแง่จำนวนเงินที่ได้รับก็ไม่ได้มากไปกว่าคนทั่วไปแต่อย่างใด กล่าวได้ว่าอิสลามมีสองกองทุน กองทุนคุมุสและกองทุนซะกาต ผู้ยากไร้ไม่ว่าซัยยิดหรือคนทั่วไป ต่างก็มีสิทธิได้รับการช่วยเหลือจากแต่ละกองทุนในจำนวนเท่ากัน นั่นคือจำนวนเงินที่พอเพียงสำหรับหนึ่งปี. ผู้ยากไร้ทั่วไปได้รับจากกองทุนซะกาต และผู้ยากไร้ที่เป็นซัยยิดจะได้รับจากกองทุนคุมุส และบรรดาซัยยิดไม่มีสิทธิแตะต้องซะกาตเลยแม้แต่บาทเดียว.



[1] ซูเราะฮ์อันฟาล,41.

وَ اعْلَمُوا أَنَّما غَنِمْتُمْ مِنْ شَیْ‏ءٍ فَأَنَّ لِلَّهِ خُمُسَهُ وَ لِلرَّسُولِ وَ لِذِی الْقُرْبى‏ وَ الْیَتامى‏ وَ الْمَساکینِ وَ ابْنِ السَّبیلِ إِنْ کُنْتُمْ آمَنْتُمْ بِاللَّهِ و...

[2] กันซุลอิรฟาน,อะกี้ก บัคชอเยชี,หน้า 29.

[3] อ้างแล้ว,หน้า 179,242.

[4] อัลมีซานฉบับแปลฟารซี,เล่ม 9,หน้า 118.

[5] อ้างแล้ว,เล่ม 9,หน้า120.

[6] วะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 6,หน้า 8.(บทว่าด้วยสิ่งที่เป็นวาญิบต้องนำจ่ายคุมุส)

[7] อัลมีซานฉบับแปลฟารซี,เล่ม 9,หน้า 136,137.

[8] อ้างแล้ว,เล่ม 9,หน้า 118.

[9] อัดดุรรุล มันษู้ร,เล่ม 3,หน้า 186,อ้างจากอัลมีซาน,เล่ม 9,หน้า 138.

[10] อิบนิ รุชด์,บิดายะตุ้ลมุจตะฮิด,หมวดญิฮาด,หน้า 382,383.

[11] รวมคำถามคำตอบ,เล่ม10,หน้า32.(อะห์กามคุมุส)

[12] อิมามริฏอกล่าวว่า ان اخراجه (خمس) مفتاح رزقکم و تمحیص ذنوبکم (การชำระคุมุสเป็นกุญแจสู่ริซกีและจะนำมาซึ่งอภัยโทษจากพระองค์)วะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 6,บทว่าด้วยอันฟาล,บท 3,เล่ม 2.

[13] ตัฟซีร เนมูเนะฮ์,เล่ม 7,หน้า 184.

[14] อ้างแล้ว,หน้า183.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ท่านอิมามฮุเซน(อ.)มีบุตรสาวชื่อรุก็อยยะฮ์หรือสะกีนะฮ์ไช่หรือไม่ ที่เสียชีวิตที่ดามัสกัสขณะอายุได้สามหรือสี่ขวบ?
    7241 تاريخ بزرگان 2554/12/21
    แม้ว่านักประวัติศาสตร์จะมิได้กล่าวถึงบุตรสาวตัวน้อยของอิมามฮุเซน(อ.) ที่มีนามว่ารุก็อยยะฮ์หรือฟาฏิมะฮ์ศุฆรอฯลฯแต่ตำราบางเล่มก็สาธยายเรื่องราวอันน่าเวทนาของเด็กหญิงคนนี้ณซากปรักหักพังในแคว้นชามเราพบว่ามีเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวปรากฏในตำราประวัติศาสตร์บางเล่มอาทิเช่นก. เมื่อท่านหญิงซัยนับ(ส.) ได้เห็นศีรษะของอิมามฮุเซน(อ.) ผู้เป็นพี่ชายนางได้รำพึงรำพันบทกวีที่มีเนื้อหาว่า “โอ้พี่จ๋าโปรดคุยกับฟาฏิมะฮ์น้อยสักนิดเถิดเพราะหัวใจนางกำลังจะสูญสลาย”
  • เพราะสาเหตุใดส่วนแบ่งมรดกของสตรีจึงได้เพียงครึ่งหนึ่งของชาย ?
    10558 สิทธิและกฎหมาย 2554/04/21
    หนึ่งในสาเหตุที่ส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายชายมากกว่าฝ่ายหญิงคือเรืองค่าเลี้ยงดูของหญิงอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายชายกล่าวคือฝ่ายชายนอกจากจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนแล้วยังมีหน้าที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายประจำวันของฝ่ายหญิงและบรรดาลูกๆอีกด้วยอีกด้านหึ่งฝ่ายชายต้องเป็นผู้จ่ายมะฮฺรียะฮฺส่วนฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายรับมะฮฺรียะฮฺนั้นตามความเป็นจริงสามารถกล่าวได้ว่าสิ่งที่ฝ่ายหญิงได้รับในฐานะของมรดกหรือมะฮฺรียะฮฺนั้นก็คือทรัพย์สะสมขณะที่ส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายชายถูกใช้ไปเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของตนของภรรยาและบรรดาลูกๆนอกจากนี้แล้ว
  • การจ่ายคุมซ์เป็นทรัพย์สินเพียงครั้งเดียว แล้วต่อไปไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกใช่หรือไม่?
    5650 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ดั่งเป็นที่ทราบกันดีว่าคุมซ์คือหนึ่งในการบริจาคทรัพย์อันเป็นวาญิบสำคัญในอิสลามเป็นหนึ่งในหลักการอิสลามและเป็นอิบาดะฮฺด้วยด้วยสาเหตุนี้เองจำเป็นต้องเนียต (ตั้งเจตคติ) เพื่อแสวงความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ (ซบ.)ทรัพย์สินและเงินทุนต่างๆที่ต้องจ่ายคุมซ์ถ้าหากจ่ายคุมซ์ไปแล้วเพียงครั้งเดียวไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานหลายปีก็ตามแต่ถ้าเป็นทรัพย์ที่เติบโตหรือมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมทุนเดิมไม่ต้องจ่ายคุมซ์แต่ส่วนที่เป็นผลกำไรงอกเงยอออกมาวาญิบต้องจ่ายคุมซ์[1][1]  เตาฏีฮุลมะซาอิลมะริญิอฺ
  • การแสวงหาความต้องการอื่น ๆ นอกจากพระเจ้า เช่นขอจากบบี (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) เป็นชิริกหรือไม่ เพราะในความเป็นจริงผู้ตอบสนองความต้องการคือพระเจ้า
    7825 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    การให้ความเคารพการย้อนกลับการขอความต้องการไปยังผู้ทรงเกียรติ (พระศาสดาและบรรดาอิมาม) ถ้าหากมีเจตนาว่าพวกเขามีบทบาทต่อการเกิดผลและสามารถปลดเปลื้องความต้องการของเราได้โดยเป็นอิสระจากพระเจ้าหรือปราศจากการพึ่งพิงไปยังอาตมันสากลของพระองค์การมีเจตนารมณ์เช่นนี้ถือว่าเป็นชิริกอีกทั้งขัดแย้งกับเตาฮีดอัฟอาล (ความเป็นเอกภาพในการกระทำ) เนื่องจากพระองค์ปราศจากการพึ่งพิงไปยังสิ่งอื่นขณะที่สิ่งอื่นต้องพึ่งพิงไปยังพระองค์ขัดแย้งกับเตาฮีดรุบูบียะฮฺ(อำนาจบริหารและบริบาลเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวส่วนบรรดาศาสดามะลักหรือปัจจัยทางธรรมชาติเป็นเพียงสื่อของพระองค์)
  • ทั้งที่พจนารถของอิมามบากิรและอิมามศอดิกมีมากมาย เหตุใดจึงไม่มีการรวบรวมไว้ในหนังสือสักชุดหนึ่ง?
    6643 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/07
    หากจะพิจารณาถึงสังคมและยุคสมัยของท่านอิมามบากิร(อ.)และอิมามศอดิก(อ.)ก็จะเข้าใจได้ว่าเหตุใดจึงไม่มีการรวบรวมตำราดังกล่าวขึ้นอย่างไรก็ดีฮะดีษของทั้งสองท่านได้รับการรวบรวมไว้ในบันทึกที่เรียกว่า “อุศู้ลสี่ร้อยฉบับ” จากนั้นก็บันทึกในรูปของ”ตำราทั้งสี่” ต่อมาก็ได้รับการเรียบเรียงเป็นหมวดหมู่ฟิกเกาะฮ์ในหนังสือวะซาอิลุชชีอะฮ์กว่าสามสิบเล่มโดยท่านฮุรอามิลีแต่กระนั้นก็ต้องทราบว่าแม้ว่าฮะดีษของอิมามสองท่านดังกล่าวจะมีมากกว่าท่านอื่นๆก็ตามแต่หนังสือดังกล่าวก็มิได้รวบรวมเฉพาะฮะดีษของท่านทั้งสองแต่ยังรวมถึงฮะดีษของอิมามท่านอื่นๆอีกด้วย ทว่าปัจจุบันมีการเรียบเรียงหนังสือในลักษณะเจาะจงอยู่บ้างอาทิเช่นมุสนัดอิมามบากิร(อ.) และมุสนัดอิมามศอดิก(
  • ท่านอิมามอลี(อ.)อธิบายถึงการก้าวสู่ตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของเคาะลีฟะฮ์สามคนแรกไว้ในคุฏบะฮ์บทใด?
    6542 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/28
    ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวถึงการก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของเคาะลีฟะฮ์สามคนแรกไว้ในคุฏบะฮ์ที่สามซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในนาม “คุฏบะฮ์ชิกชิกียะฮ์” จากคำที่ท่านกล่าวตอนท้ายคุฏบะฮ์คุฏบะฮ์นี้มีเนื้อหาครอบคลุมคำตัดพ้อของท่านอิมามอลี(อ.)เกี่ยวกับประเด็นคิลาฟะฮ์และเล่าถึงความอดทนต่อการสูญเสียตำแหน่งดังกล่าวอีกทั้งเหตุการณ์ที่ประชาชนให้สัตยาบันต่อท่านซึ่งจะนำเสนอรายละเอียดในคำตอบแบบสมบูรณ์ ...
  • ตามคำสอนของศาสนาอื่น นอกจากอิสลาม, สามารถไปถึงความสมบูรณ์ได้หรือไม่? การไปถึงเตาฮีดเป็นอย่างไร?
    10029 เทววิทยาใหม่ 2554/06/21
    แม้ว่าปัจจุบันนี้จะมีความถูกต้องอยู่บ้างในบางศาสนาดั่งที่เราได้เห็นประจักษ์กับสายตาตัวเอง, แต่รูปลักษณ์ที่สมบูรณ์ของความจริงซึ่งได้แก่เตาฮีด, มีความประจักษ์ชัดเฉพาะในศาสนาอิสลามเท่านั้น, เหตุผลหลักสำหรับการพิสูจน์คำพูดดังกล่าว,คือการไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้การถูกบิดเบือนและความบกพร่องต่างๆทางปัญญาในศาสนาต่างๆขณะที่ด้านตรงข้าม, การไม่ถูกเปลี่ยนแปลงและไม่ถูกสังคายนาของอัลกุรอาน, มีหลักฐานและประวัติที่เชื่อถือได้, คำสอนที่ครอบคลุมของอิสลาม, การเข้ากันได้อย่างเป็นธรรมชาติของคำสอนอิสลามกับสติปัญญาสมบูรณ์ ...
  • น้ำยาบ้วนปากซึ่งโดยปกติแล้วจะมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมอยู่ จะมีฮุกุ่มอย่างไร?
    8331 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/08
    แอลกอฮอล์ชนิดที่ยังคลางแคลงใจว่าเป็นน้ำเมา[1]แต่เดิมหรือไม่นั้นให้ถือว่าสะอาดและสามารถค้าขายหรือใช้ผลิตพันธ์ที่มีแอลกอฮอล์ดังกล่าวเป็นส่วนผสมได้ตามปกติ[2]
  • ในอายะฮ์ "وَمَنْ عَادَ فَینتَقِمُ اللّهُ مِنْهُ وَاللّهُ عَزِیزٌ ذُو انْتِقَامٍ"، สาเหตุของการชำระโทษคืออะไร
    7045 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/05
    อายะฮ์ที่ได้ยกมาในคำถามข้างต้นนั้นเป็นอายะฮ์ที่ถัดจากอายะฮ์ก่อนๆในซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์ซึ่งมีเนื้อหาว่าการล่าสัตว์ขณะที่กำลังครองอิฮ์รอมถือเป็นสิ่งต้องห้ามในที่นี่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ได้กล่าวว่าผู้ใดที่ได้ละเมิดขอบเขตของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) กล่าวคือไม่ยี่หระสนใจเกี่ยวกับข้อห้ามในการล่าสัตว์ในขณะที่ครองอิฮ์รอมอยู่โดยได้ล่าสัตว์ขณะที่กำลังทำฮัจญ์  อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ก็จะชำระโทษพวกเขาดังนั้นสาเหตุของการชำระโทษในที่นี้ก็คือการดื้อดึงที่จะทำบาปนั้นเอง[1]ใครก็ตามที่ได้กระทำสิ่งต้องห้าม (ล่าสัตว์ขณะครองอิฮ์รอม) พระองค์ย่อมจะสำเร็จโทษเขาอายะฮ์ดังกล่าวต้องการแสดงให้เห็นว่าบาปนี้เป็นบาปที่ใหญ่หลวงถึงขั้นที่ว่าผู้ที่ดื้อแพ่งจะกระทำซ้ำไม่อาจจะชดเชยบาปดังกล่าวได้ในอันดับแรกสามารถชดเชยบาปได้โดยการจ่ายกัฟฟาเราะฮ์และเตาบะฮ์แต่ถ้าหากได้กระทำบาปซ้ำอีกอัลลอฮ์จะชำระโทษผู้ที่ฝ่าฝืนเนื่องจากพระองค์ทรงเป็นผู้มีชัยและเป็นจ้าวแห่งการชำระโทษและสำนวนอายะฮ์นี้แสดงให้เห็นว่าบาปดังกล่าวเป็นบาปที่ใหญ่หลวงสำหรับปวงบ่าวนั่นเอง[2]คำถามนี้ไม่มีคำตอบเชิงรายละเอียด[1]มัฆนียะฮ์, มุฮัมหมัดญะวาด
  • การบนบานแบบใหนสัมฤทธิ์ผลตามต้องการมากที่สุด?
    13663 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/28
    นะซัร(บนบานต่ออัลลอฮ์) คือวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ได้รับในสิ่งที่ต้องการซึ่งมีพิธีกรรมเฉพาะตัวอาทิเช่นจะต้องเปล่งประโยคเฉพาะซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาอรับตัวอย่างเช่นการเปล่งประโยคที่ว่า“ฉันขอนะซัรว่าเมื่อหายไข้แล้ว

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60190 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57650 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42267 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39476 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38994 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34050 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28063 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28048 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27885 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25866 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...