การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7234
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/10/29
คำถามอย่างย่อ
เพราะเหตุใดท่านอิมามอะลี (อ.) จึงไม่ขัดวาง การห้ามมิให้ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เขียนพินัยกรรม?
คำถาม
เพราะเหตุใด เมื่อท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ต้องการเขียนบางสิ่งแก่บรรดาสหายก่อนที่ท่านจะจากไป ซึ่งจะไม่ทำให้พวกเขาหลงทางตลอดไป, แต่ท่านอะลีมิได้กล่าวสิ่งใดเลย, ทั้งที่ท่านเป็นผู้มีความกล้าหาญ ไม่เคยกลัวผู้ใดนอกจากอัลลอฮฺ และท่านก็ทราบดีว่าบุคคลใดไม่พูดความจริง เขาคือปีศาจมุสา?
คำตอบโดยสังเขป

การขัดขวางหรือห้ามมิให้นำปากกาและกระดาษมาให้ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) (เพื่อที่จะเขียนพินัยกรรมบางอย่างก่อนที่ท่านจะจากไป) เป็นเหตุการณ์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รับรู้กันทางประวัติศาสตร์ ซึ่งมีชื่อกล่าวเรียกกันไปต่างๆ นานา เช่น วันพฤหัสทมิฬ, หรือ วันแห่งกระดาษและปากกา, การนิ่งเงียบของท่านอิมามอะลี (อ.) ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว มิได้เป็นเหตุผลที่มายืนยันหรือปฏิเสธความจริงที่เกิดขึ้น ทว่าสิ่งที่ต้องพิจารณาคือ ท่านอิมามมีเหตุผลอะไรถึงทำเช่นนั้น และการนิ่งเงียบของท่านอิมามขัดแย้งกับความกล้าหาญของท่านหรือไม่?

เมื่อศึกษาเหตุการณ์ »ปากกาและกระดาษ« ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์และหนังสืออื่นๆ ทำให้ได้บทสรุปว่า

1.ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ถูกกล่าวร้ายว่า เป็นคนพูดจาเพ้อเจ้อ ศาสดาผู้ซึ่งอัลกุรอานได้ประทานลงมาเกี่ยวกับท่านว่า: »ท่านจะไม่พูดจากด้วยอารมณ์ ทว่าจะพูดเฉพาะสิ่งที่เป็นวะฮฺยูที่ได้ประทานลงมายังท่านเท่านั้น« ขณะที่เรื่องพินัยกรรม ก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง กับการประกาศสาส์นของท่าน

2.การเริ่มต้นความขัดแย้งและทะเลาะวิวาทกัน ต่อหน้าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ประกอบกับท่านป่วยอยู่ด้วยในขณะนั้น แน่นอนว่าการกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้อง และไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด ซึ่งความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนั้นไม่ว่าบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ จะมีความคิดเห็นขัดแย้งกันมากเท่าใด การวิวาทของพวกเขาก็ยิ่งทำให้ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ทุกข์ยิ่งขึ้นเท่านั้น

3.มีบุคคลหลายคนในที่ประชุมนั้น พยายามขัดขวางมิให้ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เขียนพินัยกรรม ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้การโต้เถียงกันขยายวงกว้างออกไป เขาและพรรคพวกของเขาต่างไม่ยอมรับการเขียนพินัยกรรมในเวลานั้น จนกระทั่งท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ทนไม่ได้จึงไล่ทุกคนออกไปให้พ้นหน้าท่าน ซึ่งบางรายงานตามบันทึกของซุนนียฺกล่าวว่า บุคคลที่เป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องนี้คือ ท่านอุมัรบินเคาะฏ็อบ[i]

4.วิลายะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) และสิทธิอันชอบธรรมของท่าน เป็นที่ชัดเจน ซึ่งไม่มีบุคคลใดสงสัยในการเป็นตัวแทนของท่านแต่อย่างใด ซึ่งแน่นอนว่าการนิ่งเงียบของท่านอิมามอะลี (อ.) ในบ้านของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็เพื่อรักษากาลเทศะบางอย่าง อย่างไรก็ตามหลังจากเหตุการณ์สะกีฟะฮฺแล้ว ท่านอิมาม (อ.) ได้ทักท้วงเรื่องการปฏิเสธสิทธิของท่าน แต่เพื่อรักษาความสงบสันติแก่อิสลาม และมุสลิมท่านจึงนิ่งเงียบอยู่หลายปี นอกจากนั้นท่านยังให้คำปรึกษากับผู้ปกครองอิสลามในสมัยนั้น ก็เพื่อการปกปักรักษาอิสลามให้ดำเนินต่อไป

 


[i] บุคอรียฺ, กิตาบอิลมฺ, บาบกิตาบุลอิลมฺ, 1/22-23.

 

คำตอบเชิงรายละเอียด

การห้ามและขัดขวางมิให้เจตนารมณ์ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) สมจริง บนคำสั่งที่ให้นำเอาปากกาและกระดาษมาให้ท่าน  เพื่อจะบันทึกบางอย่างในฐานะพินัยกรรมก่อนที่ท่านจะจากไป เป็นเหตุการณ์ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีทางหน้าประวัติศาสตร์ ซึ่งมีชื่อกล่าวเรียกกันไปต่างๆ นานา เช่น วันพฤหัสทมิฬ, หรือ วันแห่งกระดาษและปากกา, ซึ่งเป็นไปในลักษณะที่ว่าเป็นมุตะวาติร ดังปรากฏอยู่ในตำราฮะดีซของฝ่ายซุนนียฺมากมาย และการนิ่งเงียบของท่านอิมามอะลี (อ.) เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น มิได้เป็นเหตุผลที่บ่งบอกถึงการปฏิเสธความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทว่าประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ ท่านมีเหตุผลอะไรจึงทำเช่นนั้น และการนิ่งเงียบของท่านขัดแย้งกับความกล้าหาญของท่านหรือไม่ หรือสิ่งที่ท่านกระทำลงไปนั้นเป็นการรักษาความสงบในสังคมอิสลาม ความสงบสันติซึ่งมีความสำคัญต่อสังคมอิสลามอย่างยิ่งในตอนนั้น เป็นสาเหตุทำให้ท่านต้องเปลี่ยนใจไม่ทำตามความต้องการของตน แน่นอน สิ่งนี้มิได้ขัดแย้งกับความกล้าหาญชาญชัยของท่านแต่อย่างใด

ดังนั้น เพื่อความชัดเจนในประเด็นนี้อันดับแรกจะกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญ ซึ่งรู้จักกันดีในนามของเหตุการณ์ »ปากกาและกระดาษ« หรือ »วันพฤหัสทมิฬ« หรือ »วันพฤหัสอัปยศ« :

อิมามบุคอรียฺ เป็นหนึ่งนักรายงานฮะดีซผู้อาวุโสของฝ่ายซุนนียฺ และเป็นเจ้าของหนังสือเซาะฮียฺบุคอรียฺ ได้รายงานจากอิบนุอับบาซว่า : ใกล้เวลาที่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะอำลาจากโลกไป มีสหายกลุ่มหนึ่ง เช่น อุมัร บิน เคาะฎ็อบได้รวมตัวกันอยู่ที่บ้านของท่านศาสดา (ซ็อลฯ), ท่านได้สั่งพวกเขาว่า : จงนำเอาปากกาและกระดาษมาให้ฉัน เพื่อฉันจะได้บันทึกบางสิ่งแก่พวกท่าน แล้วพวกท่านจะไม่หลงทางตลอดไป, อุมัร บิน เคาะฏ็อบกล่าวว่า : อาป่วยได้ครอบงำท่านศาสดาเสียแล้ว, พวกเรามีอัลกุรอานคัมภีร์แห่งพระเจ้าเล่มเดียวก็เพียงพอแล้ว สำหรับพวกเรา คำพูดของเขาทำให้อะฮฺลุลบัยตฺและผู้ที่อยู่ในบ้านของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ขัดแย้งกัน,มีบางกลุ่มที่ยอมรับทัศนะของอุมัร และอีกบางกลุ่มไม่เห็นด้วยและแสดงความเห็นขัดแย้งออกมา เมื่อความขัดแย้งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จึงกล่าวว่า : จงออกไปให้พ้นหน้าฉันทั้งหมด ไม่สมควรอย่างยิ่งที่พวกท่านจะมาถกเถียงและวิวาทกันต่อหน้าฉัน[1]

บุคอรียฺ ได้รายงานจากอิบนุอับบาซ ในอีกรายงานหนึ่งว่า อิบนุอับบาซกล่าวว่า : ปัญหาและความเลวร้ายต่างๆ ได้เริ่มต้นตั้งแต่มีการทะเลาะวิวาทกันต่อหน้าท่านศาสดา จนกระทั่งท่านไม่ได้เขียนพินัยกรรมฉบับสุดท้าย[2]

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตรงกับวันพฤหัสบดี กล่าวคือ 4 วันก่อนการจากไปของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) สิ่งที่สมควรพิจารณาตรงนี้คือ ท่านศาสดาต้องการป้องกันมิให้มีความขัดแย้งเกิดขึ้น กับวิลายะฮฺของท่านอิมามอะลี ท่านจึงมีคำสั่งให้สหายกลุ่มหนึ่ง เช่น ท่านอบูบักรฺ,อุมัร, อุสมาน, อบูอุบัยดะฮฺ ญัรรอฮฺ, ฏ็อลฮะฮฺ, ซุบัยรฺ, อับดุรเราะฮฺมาน บิน เอาฟฺ และสะอฺดฺ บิน วะกอซ[3] ร่วมออกศึกไปยังจุดที่ห่างไกลที่สุดของชายแดน ติดกับโรม ภายใต้การนำทัพของอุษามะฮฺ ทั้งที่การปล่อยให้เมืองหลวงว่างเปล่าจากทหาร ในช่วงของการกำลังจากไปของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ถือว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะอาจเป็นไปได้ที่ผู้เพิ่งเข้ารับอิสลามใหม่, เพื่อนบ้านซึ่งเป็นชนต่างเผ่าพันธุ์ที่อยู่รายล้อมรอบมะดีนะฮฺ อาจจะลุกฮือและก่อกบฏได้ แต่คำสั่งดังกล่าวเป็นการตัดสินใจของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เพียงคนเดียว เพื่อต้องการให้ผู้ที่จะคิดต่อต้านวิลายะฮฺของท่านอะลี (อ.) ออกไปจากมะดีนะฮฺ, การจัดทัพดังกล่าวได้เกิดขั้นเพียงไม่กี่วันก่อนการจากไปของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และเป็นคำสั่งของท่าน ซึ่งท่านกล่าวว่า : ขออัลลอฮฺ ทรงสาปแช่งบุคคลที่ทรยศขัดขืนการนำทัพของอุษามะฮฺ และไม่ร่วมทัพไปพร้อมกับเขา[4] ในทางตรงกันข้ามเหล่าสหาย และผู้เห็นด้วยกับการเป็นตัวแทนของท่านอิมามอะลี (อ.) เช่น ท่านอัมมาร มิกดาร และซัลมาล ได้รับการยกเว้นไม่ต้องร่วมทัพไปกับอุษามะฮฺ ขณะเดียวกันก็ไม่มีชื่อของท่านอิมามอะลี (อ.) อยู่ในกองทัพด้วย[5]

จากบทนำที่กล่าวมาพร้อมกับข่าวลือว่าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เสียชีวิตแล้ว ทำให้คนกลุ่มหนึ่งแยกตัวออกจากกองทัพอุษามะฮฺ แล้วรีบกลับมะดีนะฮฺทันที มารวมตัวกันอยู่ที่บ้านของท่านศาสดา จึงทำให้เกิดวันพฤหัสวิปโยคขึ้นมา

ประวัติศาสตร์บันทึกว่าบุคคลหนึ่งที่ทักท้วงคำพูดของอุมัร บินเคาะฏ็อบคือ ญาบิร บินอับดุลลอฮฺ อันซอรียฺ[6]

เมื่อศึกษาฮะดีซจากท่านอิบนุอับบาซ ที่รายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์วันนั้น เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า การโต้เถียงและทะเลาะวิวาทกันในวันนั้น สร้างความรันทดและไม่เข้ากันกับสภาพของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ในตอนนั้น และถือว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง รายงานยังกล่าวต่อไปอีกว่า สาเหตุที่พินัยกรรมมิได้ถูกบันทึกก็มาจากการทะเลาะวิวาทกันในวันนั้นนั่นเอง

ฉะนั้น ถ้าหากอุมัร บินเคาะฏ็อบ ไม่ขัดขวางเจตนารมณ์ของท่านศาสดา และไม่มีการทะเลาะวิวาทกันต่อหน้าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) วันนั้นท่านต้องเขียนพินัยกรรมแน่นอน

และตอนนี้ประจักษ์แล้วว่า เพราะอะไรท่านอิมามอะลี (อ.) จึงไม่เข้าไปยุ่งในการทะเลาะวิวาท, ขณะที่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เป็นผู้จิตใจมุ่งหวังแต่สร้างความสมานฉันท์ และการประสานใจให้เป็นหนึ่งเดียว[7] ไม่เป็นการเหมาะสมแต่อย่างใดที่จะเพิ่มพูนการวิวาทให้มากยิ่งกว่าเดิม นอกจากนั้นแล้วบุคคลที่ไม่ยอมรับคำพูดของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) โดยกล่าวหาว่าท่านเป็นคนพูดเพ้อเจ้อ เนื่องจากอาการไข้ได้กำเริบ แล้วเขาจะมาฟังคำพูดของท่านอิมามอะลี (อ.) กระนั้นหรือ นอกจากนี้แล้วยังมีสหายผู้อาวุโสหลายท่าน เช่น ท่านญาบิร อับดุลลอฮฺ อันซอรียฺ เป็นผู้หนึ่งที่คัดค้านคำพูดของอุมัร บิน เคาะฎ็อบ แต่ทันทีที่ท่านท้วงติงก็ได้รับการคัดค้าน และแรงบีบกดดันจากกลุ่มที่เห็นพ้องกับคำพูดของอุมัรทันที ดังนั้น ในบรรยากาศเช่นนั้นไม่ว่าจะมีใครแสดงทัศนะออกมาทั้งในแง่ลบ หรือแง่ดีก็จะมีการโต้เถียงและทะเลาะกันต่อหน้าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ทั้งสิ้น ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นความผิดพลาดทั้งสิ้น แต่อย่างไรก็ตามการเป็นตัวแทนของท่านอิมามอะลี (อ.) ก็มิใช่สิ่งที่ถูกปิดบังหรือซ่อนเร้นแต่อย่างใด เนื่องจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้เน้นย้ำปัญหาดังกล่าวไว้หลายต่อหลายครั้ง ในลักษณะที่ว่าทุกคนต่างรับรู้ ข้อพิสูจน์และชัรอียฺสมบูรณ์แล้วสำหรับพวกเขา. ท่านซุยูฏียฺได้รวบรวมฮะดีซเหล่านี้ไว้นหน้งสือ ตารีคคุละฟาอฺ ซึ่งในฮะดีซเหล่านั้นคือบทที่กล่าวว่า « مَنْ كُنْتُ مَوْلَاهُ فَعَلِيٌّ مَوْلَاهُ »ซึ่งติรมีซียฺ ได้รายงานจากอบี ซะรีฮะฮฺ หรือจากซัยดฺ บินอัรกอม ซึ่งประโยคนี้ « اللَّهُمَّ وَالِ مَنْ وَالَاهُ وَ عَادِ مَنْ عَادَاه‏» ได้รายงานมาจาก อะฮฺมัด บิน ฮันบัล และฏ็อบรอนียฺ ได้รายงานมาจาก อิบนุอุมัน, มาลิก บิน อัลเฮารีส, ญะรีร, สะอฺด์ บิน อบีวะกอฟ, อะบี สะอีด คุดรียฺ, อะนัส, อิบนุอับบาซ อีกทีหนึ่ง

ทำนองเดียวกันประโยคที่กล่าวว่า « أَنْتَ مِنِّي بِمَنْزِلَةِ هَارُونَ مِنْ مُوسَى إِلَّا أَنَّهُ لَا نَبِيَّ بَعْدِي »ได้รายงานมาจาก อะฮฺมัด บิน ฮันบัล และฏ็อบรอนียฺ โดยรายงานมาจากสายรายงานที่ต่างกัน[8]

ใช่ เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่แห่งเคาะดีรถคุม ยังไม่ทันเจือจาง และเป็นไปไม่ได้ที่บางคนจะลืมเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่จนหมดสิ้น ฉะนั้น ท่านอิมามอะลี (อ.) จึงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องเข้าไปยุ่งกับการโต้เถียง หรือทะเลาะวิวาทกันในบ้านท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) และต่อหน้าท่าน เพราะการให้เกียรติท่านศาสดามีความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด การนิ่งเงียบเท่ากับเป็นการไม่ดูถูกตำแหน่งของท่าน แต่หลังจากนั้นท่านอิมาม (อ.) ไม่เคยปฏิเสธที่กล่าวถึงความจริงนั้น ทั้งที่อะฮฺมัด ได้บันทึกไว้ในมุสนัด (1/155) หรือฏ็อบรียฺ ได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของท่าน (2/466) และบุคคลอื่น เช่น อิบนุกะษีร อิบนุฮิชาม ซึ่งได้กล่าวถึงเหตุการณ์นั้นว่า ตอนแรกพวกเขาแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับการตัดสินใจเรื่องเคาะลิฟะฮฺ ทำให้บางกลุ่มได้ไปรวมตัวกันประท้วงที่บ้านท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) และบางกลุ่มก็ไปมัสญิด บังคับให้ประชาชนสาบานว่า ไม่เคยเห็นเหตุการณ์เฆาะดีรคุม และบางกลุ่มจำนวน 30 คนได้ยืนยันถึงเหตุการณ์ดังกล่าว[9] แต่เพื่อรักษาเสถียรภาพของสังคม และความสามัคคีของมุสลิม อีกทั้งป้องกันมิให้เกิดความแตกแยกมากไปกว่านั้น ท่านได้ยุติความพยายามในการเรียกร้องสิทธิของท่าน เพราะแน่นอน การทักท้วงของท่านอิมามย่อมนำมาซึ่งความแตกแยกภายในสังคม อิสลามซึ่งเหมือนกับวัยหนุ่มที่เพิ่งเจริญเติบโต ประกอบกับสังคมพึ่งจะสูญเสียผู้นำคือ ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ไปหมาดๆ อีกด้านหนึ่งศัตรูต่างเฝ้าคอยโอกาสที่จะโจมตีอิสลามให้พังพินาศ ดั่งที่ประวัติศาสตร์กล่าวว่า การจากไปของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ทำให้ชนเผ่าอาหรับจำนวนมากไม่ยอมจ่ายซะกาต และบางเผ่าชนก็ออกนอกศาสนาไป[10]

แน่นอน สิ่งที่ท่านอิมามอะลี (อ.) เป็นห่วงมากที่สุดคือ การสูญเปล่าในการงานของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ซึ่งท่านและครอบครัวต่างเสียสละทั้งชีวิตและทรัพย์สินเพื่อปกป้องรักษาอิสลาม ให้ธำรงอยู่ต่อไปแด่อนุชนรุ่นหลัง, ด้วยเหตุนี้เอง ท่านอิมามอะลี (อ.) จึงได้เลือกการนิ่งเงียบ และให้คำปรึกษาผู้นำการปกครองภายหลังจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และให้ความร่วมมือเท่าที่จำเป็น

 


[1] บุคอรียฺ, กิตาบอิลมฺ, บาบกิตาบุลอิลมฺ, 1/22-23,มะอาลิม อัลมัดเราะซะตัยนฺ, อัลลามะฮฺ อัสการียฺ, เล่ม 1, หน้า 140.

[2] เซาะฮียฺบุคอรียฺ, กิตาบอัลอิอฺติซอม บิลกิตาบวะซุนนะฮฺ, บาบกะรอฮียะฮฺ อัลคิลาฟวะบาบเกาลฺ มะรีฎ}มะอาลิม อัลมัดเราะซะตัยนฺ, อัลลามะฮฺ อัสการียฺ, เล่ม 1, หน้า 140. قوموا عنی از کتاب مرضی؛

[3]เฏาะบะกอต อัลกุบรอ, เล่ม 2, หน้า 189, ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) และประวัติศาสตร์, นักเขียนกลุ่มหนึ่ง, หน้า 131.

[4] มิลัลวะนิฮัล, ชะฮฺริซตานี, เล่ม 1, หน้า 14, เล่ามาจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กลุ่มนักเขียน, หน้า 132.

[5] เฏาะบะกอต อัลกุบรอ, เล่ม 2, หน้า 189, ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) และประวัติศาสตร์, นักเขียนกลุ่มหนึ่ง, หน้า 131.

[6] ฮัยซัมมีย์,มัจญฺมะอุลซะวาอิด, เล่ม 4, หน้า 390, เล่ม 8, หน้า 609, ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่และประวัติศาสตร์, หน้า 134.

[7] อัลกุรอานหลายโองการได้เชิญชวนมุสลิมไปสู่เอกภาพ และหลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาท เช่น โองการที่ 46 บทอันฟาล กล่าวว่า : พวกเจ้าจงอย่าวิวาท เพราะจะทำให้บังเกิดความพ่ายแพ้ และสูญเสียอำนาจ

[8] ตารีคคุละฟาอฺ, ซุยูฏียฺ, หน้า 157.

[9] มะอาลิม อัลมัดเราะซะตัยนฺ, อัลลามะฮฺ อัสการียฺ, เล่ม 1, หน้า 489.

[10] อ้างแล้ว, เล่ม 1, หน้า 165.

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ตักวาหมายถึงอะไร?
    17841 จริยธรรมทฤษฎี 2555/01/23
    ตักว่าคือพลังหนึ่งที่หยุดยั้งจิตด้านในซึ่งการมีอยู่ของมนุษย์คือสาเหตุของการมีพลังนั้นและพลังดังกล่าวจะพิทักษ์ปกป้องมนุษย์ให้รอดพ้นจากการกระทำความผิดฝ่าฝืนต่างๆความสมบูรณ์ของตักวานอกจากจะช่วยทำให้มนุษย์ห่างไกลจากความผิดบาปและการก่ออาชญากรรมต่างๆ
  • กฎของการออกนอกศาสนาของบุคคลหนึ่ง, ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินของผู้ปกครองหรือไม่?
    5863 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    คำถามของท่าน สำนัก ฯพณฯ มัรญิอฺตักลีดได้ออกคำวินิจฉัยแล้ว คำตอบของท่านเหล่านั้น ดังนี้ ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมาคอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองท่าน): การออกนอกศาสนา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินของผู้ปกครอง ซึ่งถ้าหากบุคคลนั้นได้ปฏิเสธหนึ่งในบัญญัติที่สำคัญของศาสนา ปฏิเสธการเป็นนบี หรือมุสาต่อท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือนำความบกพร่องต่างๆ มาสู่หลักการศาสนาโดยตั้งใจ อันเป็นสาเหตุนำไปสู่การปฏิเสธศรัทธา หรือออกนอกศาสนา หรือตั้งใจประกาศว่า ตนได้นับถือศาสนาอื่นนอกจากอิสลามแล้ว ทั้งหมดเหล่านี้ถือว่า เป็นมุรตัด หมายถึงออกนอกศาสนา หรือละทิ้งศาสนาแล้ว ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา มะการิม ชีรอซียฺ (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองท่าน) : ถ้าหากบุคคลหนึ่งปฏิเสธหลักความเชื่อของศาสนา หรือปฏิเสธบทบัญญัติจำเป็นของศาสนาข้อใดข้อหนึ่ง และได้สารภาพสิ่งนั้นออกมาถือว่า เป็นมุรตัด ...
  • การทำความผิดซ้ำซาก เป็นให้ถูกลงโทษรุนแรงหรือ?
    11495 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/08/22
    การทำความผิดซ้ำซากมีความหมาย 2 อย่าง กล่าวคือ 1-ทำความผิดซ้ำบ่อยครั้ง, 2- กระทำผิดโดยไม่ได้คิดลุแก่โทษ หรือไม่เคยกลับตัวกลับใจ การทำความผิดซ้ำซากนั้น จะมีผลติดตามมาซึ่งหนักหนาสาหัสมาก ทั้งโองการอัลกุรอานและรายงานฮะดีซ ได้กล่าวตำหนิไว้อย่างรุนแรง และยังได้กล่าวเตือนอีกว่าผลของการกระทำความผิดนั้น เช่น การเปลื่ยนจากความผิดเล็กเป็นความผิดใหญ่, การออกนอกวงจรของผู้มีความสำรวมตน, ความอับโชคเฮงซวยทั้งหลาย, อิบาดะฮฺไม่ถูกตอบรับ, ลากพามนุษย์ไปสู่เขตแดนของผู้ปฏิเสธศรัทธาและพระเจ้า และ ... หนึ่งในผลของการทำความผิดซ้ำซากคือ การได้รับโทษทัณฑ์อันรุนแรงทั้งโลกนี้และโลกหน้า เหมือนกับบุคคลที่ได้ทำบาปใหญ่ ถ้าเป็นครั้งที่สองเขาจะถูกลงโทษและถูกเฆี่ยนตี ถ้าเป็นครั้งที่สามประหารชีวิต ...
  • การกระทำใดบ้างที่ส่งผลให้คนเราแลดูสง่ามีราศี?
    6390 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/28
    ในมุมมองของอิสลามความสง่างามแบ่งได้เป็นสองประเภทอันได้แก่ความงดงามภายนอกและภายใน.ปัจจัยที่สร้างเสริมความสง่างามภายในตามที่ฮะดีษบ่งบอกไว้ก็คือความอดทนความสุขุมความยำเกรง...ฯลฯ
  • เราจะมั่นใจได้อย่างไร สำหรับผู้รู้ที่ตักเตือนแนะนำและกล่าวปราศรัย มีความเหมาะสมสำหรับภารกิจนั้น?
    7207 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/08/22
    ตามคำสอนของอิสลามที่มีต่อสาธารณชนคือ จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับความเข้าในคำสอนศาสนา ตนต้องค้นคว้าและวิจัยด้วยตัวเองเกี่ยวกับบทบัญญัติของศาสนา หรือให้เชื่อฟังปฏิบัติตามอุละมาอฺ และเนื่องจากว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ทั้งหมด กล่าวตนเข้าศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับคำสอนของศาสนา ด้วยเหตุนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่เขาต้องเข้าหาอุละมาอฺในศาสนา อิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ได้กำหนดมาตรฐานสำหรับการรู้จักผู้รู้ที่คู่ควรและเหมาะสมเอาไว้ว่า การได้ที่เราจะสามารถพบอุละมาอฺที่ดี บริสุทธิ์ และมีความเหมาะสมคู่ควร สำหรับชีอะฮฺแล้วง่ายนิดเดียว เช่น กล่าวว่า “ผู้ที่เป็นอุละมาอฺคือ ผู้ที่ปกป้องตัวเอง พิทักษ์ศาสนา เป็นปรปักษ์กับอำนาจฝ่ายต่ำของตน และเชื่อฟังปฏิบัติตามบัญชาของอัลลอฮฺ ฉะนั้น เป็นวาญิบสำหรับบุคคลทั่วไปที่จะต้องปฏิบัติตามเขา นอกจาคำกล่าวของอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) แล้วยังมีวิทยปัญญาอันล้ำลึกของผู้ศรัทธา ไม่ว่าเขาจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตามเขาจะใช้ประโยชน์จากมัน แม้ว่าจะอยู่ในหมู่ผู้ปฏิเสธศรัทธาก็ตาม ...
  • อยากทราบว่ามีหลักเกณฑ์ใดในการกำหนดวัยบาลิกของเด็กสาวและเด็กหนุ่ม?
    14676 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/16
    อิสลามได้กำหนดอายุบาลิกไว้เมื่อถึงวัยของการบรรลุนิติภาวะ กล่าวคือเมื่อบุคคลมีคุณลักษณะของการบรรลุนิติภาวะปรากฏขึ้น (ขั้นต่ำของลักษณะเหล่านี้คือการหลั่งอสุจิสำหรับเด็กหนุ่ม และประจำเดือนสำหรับเด็กสาว) ดังนั้น ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้ถึงวัยแห่งบาลิกแล้ว แต่ทว่าในศาสนาอิสลาม นอกจากคุณลักษณะเหล่านี้แล้ว ได้กำหนดบรรทัดฐานในด้านของอายุในการบาลิกให้กับเด็กหญิงและเด็กหนุ่มไว้ด้วย ดังนั้น หากเด็กหญิงหรือเด็กหนุ่มยังไม่มีลักษณะโดยธรรมชาติ แต่ถึงอายุที่ศาสนาได้กำหนดไว้สำหรับการบาลิกของเขาแล้ว เขาจะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของตน เฉกเช่นผู้บาลิกคนอื่น ๆ ดังนั้น ไม่ใช่ว่าชาวซุนนีจะถือว่าเด็กสาวถึงวัยบรรลุนิติภาวะตามหลักเกณฑ์ธรรมชาติ แต่ชีอะฮ์นับจาก 9 ปีแต่อย่างใด แต่ทว่าหากเด็กสาวมีรอบเดือนหรือตั้งครรภ์แล้ว ทุกมัซฮับถือว่าเธอบรรลุนิติภาวะแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่ถึงวัยที่ฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ได้กำหนดไว้สำหรับการบรรลุนิติภาวะก็ตามa ...
  • อัลลอฮฺ ทรงพึงพอพระทัยผู้ใด? บุคคลใดที่พระองค์ทรงพึงพอพระทัย, ผู้นั้นจะได้เป็นเจ้าของสรวงสวรรค์แห่งความโปรดปรานหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว โองการที่ 28 บทอันบิยาอฺที่กล่าวว่า : และพวกเขาจะมิให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใด, นอกจากผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย จะไม่ขัดแย้งกันดอกหรือ? อีกนัยหนึ่ง : เจ้าของสรวงสวรรค์แห่งความพึงพอพระทัย จะเข้ากันได้อย่างไรกับชะฟาอะฮฺ?
    9559 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/10/22
    อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงพึงพอพระทัยบุคคลที่มีศรัทธาและพึงปฏิบัติคุณงามความดี, เพียงแต่ว่าความศรัทธาและคุณงามความดีนั้นมีทั้งเข้มแข็งมั่นคงและอ่อนแอ อีกทั้งมีระดับชั้นที่แตกต่างกันออกไป, ความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเขาจึงแตกต่างกันออกไปด้วยสรวงสวรรค์ ก็เช่นเดียวกันถูกแบ่งไปตามระดับชั้นของความศรัทธา คุณภาพ และปริมาณของคุณงามความดีที่ชาวสวรรค์ได้สั่งสม ซึ่งระดับชั้นของสวรรค์ก็มีความแตกต่างกันออกไป ส่วน “สวรรค์ชั้นริฎวาน” คือสวรรค์ชั้นสูงที่สุด เจ้าของสวรรค์ชั้นนี้ได้แก่ บรรดาศาสดาทั้งหลาย, บรรดาตัวแทนและบรรดาหมู่มิตรของอัลลอฮฺ (ซบ.), ตลอดจนบรรดาผู้ใกล้ชิดอัลลอฮฺ ชนกลุ่มนี้ไม่ต้องการชะฟาอะฮฺแต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขาคือผู้ให้ชะฟาอะฮฺ และยังเป็นสักขีพยานในวันแห่งการฟื้นคืนชีพอีกต่างหาก. ด้วยเหตุนี้เอง วัตถุประสงค์ของประโยคที่ว่า “มะนิรตะฎอ” (ผู้ที่ได้รับความพึงพอพระทัยจากอัลลอฮฺ) ในโองการอัลกุรอานจึงไม่ใช่บุคคลที่เป็นเจ้าของสวรรค์ชั้นริฏวาน เพื่อว่าระหว่างตำแหน่งชั้นของพวกเขากับโองการจะได้ไม่ขัดแย้งกันอัลกุรอาน โองการดังกล่าวอยู่ในฐานะของการขจัดความสงสัยและความเข้าใจผิด ของบรรดาผู้ปฏิเสธที่วางอยู่บนความเข้าใจที่ว่า มลาอิกะฮฺจะให้ชะฟาอะฮฺแก่พวกเขา, เนื่องจากมลาอิกะฮฺคือเจ้าหน้าที่ของอัลลอฮฺ ซึ่งพวกเขาจะไม่ปฏิบัติสิ่งใดที่ขัดแย้งต่อบัญชาของพระองค์, พวกเขาจะให้ชะฟาอะฮฺแก่บุคคลผู้ซึ่ง ...
  • ฮุศ็อยน์ บิน นุมัยร์ (ตะมีม) เป็นใครมาจากใหน?
    6315 تاريخ بزرگان 2555/03/08
    حصين بن نمير ซึ่งออกเสียงว่า “ฮุศ็อยน์ บิน นุมัยร์” ก็คือคนเดียวกันกับ “ฮุศ็อยน์ บิน ตะมีม” หนึ่งในแกนนำฝ่ายบนีอุมัยยะฮ์ที่มาจากเผ่า “กินดะฮ์” ซึ่งจงเกลียดจงชังลูกหลานของอิมามอลีอย่างยิ่ง และมีส่วนร่วมในการสังหารฮะบี้บ บิน มะซอฮิร หนึ่งในสาวกของอิมามฮุเซน บิน อลีในวันอาชูรอ ปีฮ.ศ. 61 โดยได้นำศีรษะของฮะบี้บผูกไว้ที่คอของม้าเพื่อนำไปยังราชวังของ “อิบนิ ซิยาด” ...
  • ความตายคืออะไร และเราสามารถยึดเวลาความตายออกไปได้ไหม ?
    10427 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    ความตายในทัศนะของนักปรัชญาอิสลามหมายถึงจิตวิญญาณได้หยุดการบริหารและแยกออกจากร่างกายแน่นอนทัศนะดังกล่าวนี้ได้สะท้อนมาจากอัลกุรอานและรายงานซึ่งตัวตนของความตายไม่ใช่การสูญสิ้นส่วนในหลักการของอิสลามมีการตีความเรื่องความตายแตกต่างกันออกไปซึ่งทั้งหมดมีจุดคล้ายเหมือนกันอยู่ประการหนึ่งกล่าวคือความตายไม่ใช่ความสูญสิ้นหรือดับสูญแต่อย่างใดทว่าหมายถึงการเปลี่ยนหรือการโยกย้ายจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่งเนื่องจากมนุษย์นั้นประกอบไปด้วยร่างกายและจิตวิญญาณอีกอย่างหนึ่งความตายเท่ากับเป็นหยุดการทำงานของร่างกายภายนอกส่วนจิตวิญญาณได้โยกย้ายเปลี่ยนไปอยู่ยังปรโลกด้วยเหตุนี้ความตายจึงได้ถูกสัมพันธ์ไปยังมนุษย์
  • สร้อยนามหมายถึงอะไร? แล้ว “อบุลกอซิม”สร้อยนามของท่านนบีนั้นได้มาอย่างไร?
    11184 تاريخ بزرگان 2555/03/04
    ตามธรรมเนียมของชาวอรับแล้ว ชื่อที่มีคำว่า “อบู”(พ่อของ...) หรือ “อุมมุ”(แม่ของ...) นำหน้านั้น เรียกกันว่า “กุนียะฮ์” (สร้อยนาม) ในทัศนะของอรับเผ่าต่างๆนั้น ธรรมเนียมการตั้งสร้อยนามถือเป็นการยกย่องบุคคล ตัวอย่างสร้อยนาม อบุลกอซิม, อบุลฮะซัน, อุมมุสะละมะฮ์, อุมมุกุลษูม ฯลฯ[1] ศาสนาอิสลามก็ให้ความสำคัญแก่สร้อยนามเช่นกัน ฆ็อซซาลีกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “ท่านนบี(ซ.ล.)มักจะให้เกียรติเรียกเหล่าสหายด้วยสร้อยนามเพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรี ส่วนผู้ที่ไม่มีสร้อยนาม ท่านก็จะเลือกสร้อยนามให้เขา และจะเรียกสร้อยนามนั้น กระทั่งผู้คนก็เรียกตามท่าน แม้กระทั่งผู้ที่ไม่มีบุตรที่จะนำมาตั้งสร้อยนาม ท่านนบี(ซ.ล.)ก็จะตั้งให้เขา ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังตั้งสร้อยนามแก่เด็กๆด้วย อาทิเช่นเรียกว่าอบูนั้น อบูนี้ เพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับเด็กๆ”[2] รายงานจากอิมามริฎอ(อ.)ว่า إذا كان الرجل حاضرا فكنه و إن ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60187 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57647 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42264 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39471 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38988 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34047 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28056 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28041 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27879 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25864 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...