การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
5939
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2556/08/27
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1077 รหัสสำเนา 15399
คำถามอย่างย่อ
เป็นไปได้อย่างไรที่คนเราจะรักและกลัวอัลลอฮ์ในขณะเดียวกัน?
คำถาม
เป็นไปได้อย่างไรที่คนเราจะรักและกลัวอัลลอฮ์ในขณะเดียวกัน? อิสลามสอนให้มีทั้งความหวังและความกริ่งเกรงซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกันเอง อย่างน้อยบรรดามะอ์ศูมีนก็ไม่น่าจะต้องกลัวพระองค์ เพราะถ้าหากบุคคลเหล่านี้ยังต้องกลัวอัลลอฮ์ แล้วพวกเราจะเหลืออะไร?
คำตอบโดยสังเขป

ความหวัง ความรัก และความกริ่งเกรงที่มีต่ออัลลอฮ์ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด เพราะความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกคนเป็นปกติ เพียงแต่เราอาจจะเคยชินเสียจนไม่รู้ตัว แม้แต่การเดินเหินตามปกติของเราก็เกิดจากปัจจัยทั้งสามประการดังกล่าว เนื่องจากหากไม่มีความหวัง เราก็จะไม่ก้าวเท้าเดิน และหากไม่ก้าวเท้าเดิน ก็จะไม่มีวันถึงจุดหมาย และหากไม่มีความกลัว เราก็จะไม่ระวังตัว จนอาจประสบอุบัติเหตุได้ ซึ่งก็จะทำให้ไม่สามารถไปถึงจุดหมายได้เช่นกัน ตัวอย่างที่ชัดเจนอีกประการก็คือ การใช้สอยเครื่องอำนวยความสะดวกเช่น ยานพาหนะ เครื่องใช้ไฟฟ้า เตาแก๊ส ฯลฯ เรามีความสุขและรักที่จะใช้สอยสิ่งเหล่านี้ แต่หากเราใช้สอยโดยไม่ระมัดระวังและไม่เกรงภัยที่อาจเกิดขึ้น เครื่องอำนวยความสะดวกเหล่านี้ก็อาจเป็นอันตรายแก่เราได้ทุกเมื่อ
ด้วยเหตุนี้เอง การผนวกความรัก ความกลัว และความหวังเข้าด้วยกัน จึงไม่ไช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด
ในกรณีของอัลลอฮ์ก็เช่นกัน ควรต้องกริ่งเกรง รักและคาดหวังในพระองค์ในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ก็เนื่องจากความรักและความหลงใหลในพระองค์จะสร้างแรงบันดาลใจให้มนุษย์เคลื่อนไหวสู่การปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์พึงพอพระทัย เพื่อให้ได้รับความการุณย์และลาภเนียะมัตต่างๆทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ส่วนความกริ่งเกรงก็จะเป็นแรงบันดาลใจให้ต้องนอบน้อมยอมสยบต่อคำบัญชาของพระองค์ และพยายามหลีกห่างกิเลสตัณหาและปัจจัยต่างๆที่จุดเพลิงพิโรธของพระองค์
การจับคู่กันระหว่างความหวังและความกลัวนี้ จะทำให้บุคคลทั่วไปได้อยู่เย็นเป็นสุข และปราศจากความหวาดผวาในโลกหน้า เนื่องจากโลกนี้คือสถานที่หว่านเมล็ดพันธุ์ เมล็ดที่หว่านไปต้องได้รับการปกป้องจากภัยคุกคามเพื่อรอให้ถึงวันเก็บเกี่ยวผลผลิต และในวันเก็บเกี่ยวผลผลิต ย่อมไม่จำเป็นต้องมีการปกป้องใดๆอีกต่อไป
โดยลำพังแล้ว ความกลัวจะนำมาซึ่งความท้อแท้ ความเบื่อหน่าย และความเครียด ส่วนความหวังและความรักนั้น หากไม่กำกับไว้ด้วยความกลัว ก็จะนำพาสู่ความลำพองตน ความดื้อรั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคุณสมบัติที่ไม่พึงประสงค์ทั้งสิ้น

 

คำตอบเชิงรายละเอียด

ความรัก ความหวัง และความกลัวนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนทราบและเข้าใจกันดีอยู่แล้ว มนุษย์เราเมื่อเผชิญหน้ากับปรากฏการณ์ใดปรากฏการณ์หนึ่ง อาจจะเกิดความกลัวเนื่องจากสาเหตุต่อไปนี้:
. รู้สึกถึงอันตรายที่จะคุกคามชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติยศ
. รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่หรือความสำคัญของสิ่งนั้นๆ
. ไม่ทราบว่าสิ่งนั้นจะมีผลลัพท์อย่างไร
อย่างไรก็ดี ในบางกรณี สาเหตุเหล่านี้อาจเกิดขึ้นพร้อมๆกัน

 

ส่วนความรักก็อาจจะเกิดจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้:
. ความรักที่เกิดจากการรับรู้จุดเด่นหรือแรงดึงดูดของบุคคลอื่น ทำให้มีคำกล่าวที่ว่าความรักทำให้คนตาบอด อย่างไรก็ดี คำพูดนี้จะถูกต้องก็ต่อเมื่อจุดเด่นเหล่านี้เป็นความสวยงามผิวเผินไม่ยั่งยืน  แต่หากความสวยงามเหล่านี้เกิดจากกริยามารยาทที่งดงาม หรือความโดดเด่นอันเป็นเอกหลักษณ์ นอกจากจะไม่ทำให้ตาบอดแล้ว ยังทำให้เข้าใจและเข้าถึงความเป็นจริง
. ความรักที่เกิดจากการต้องพึ่งพาผู้อื่นเพื่อช่วยให้ตนเองบรรลุเป้าหมาย ในกรณีนี้เป็นการรักตนเองมากกว่าที่จะเป็นการรักผู้อื่น
. ความรักที่เกิดจากความทราบซึ้งในบุญคุณเนื่องจากได้รับผลประโยชน์ ซึ่งจะก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณผู้เป็นที่รัก
. ผู้เป็นที่รักปรารถนาจะรับความรักจากผู้มีความรัก เพราะหวังดีและต้องการให้ผู้มีความรักได้ประสบความเจริญก้าวหน้า
ทั้งนี้ เหตุปัจจัยแห่งความรักทั้งหมดที่กล่าวมา อาจเกิดขึ้นประการเดียวหรือเกิดขึ้นพร้อมกันหลายประการสำหรับแต่ละกรณี

 

หากจะพิจารณาให้ดีก็จะพบว่า ทั้งความรัก ความหวัง และความกลัว ล้วนแฝงอยู่ในชีวิตประจำวันของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กลุ่มปัจจัยดังกล่าวจะอยู่รวมกันเสมอ แม้ในบางกรณีอาจจะมีอิทธิพลไม่เท่ากัน  คนทั่วไปมักจะมองข้ามปัจจัยเหล่านี้เนื่องจากความเคยชิน โดยไม่รู้ว่าปัจจัยเหล่านี้มีอิทธิพลต่อเราอย่างยิ่ง ความหวังและความปรารถนาสร้างแรงจูงใจให้คนเราประกอบกิจวัตรประจำวัน หรือแม้แต่ยอมเสี่ยงกระทำในสิ่งอันตราย ขณะเดียวกันความกลัวก็จะทำให้มีความระมัดระวังและความรอบคอบมากขึ้น ทั้งนี้ ถ้าหากมนุษย์เรามีเพียงความหวังและความปรารถนา ก็มักจะมองโลกในแง่ดีโดยไม่ระมัดระวัง อันเป็นเหตุให้ประสบเหตุร้ายในชีวิต แต่ถ้ามนุษย์มีเพียงความกลัว ก็จะระแวงทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งข้าวปลาอาหาร เพราะมัวแต่ระแวงว่าอาจจะสำลักอาหารจนถึงแก่ชีวิตได้ เช่นนี้ก็มี

 

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ฉงนใจว่าความหวังและความกลัวอัลลอฮ์จะรวมกันได้อย่างไรต่างหากที่ต้องกลับไปเรียนรู้ธรรมชาติมนุษย์ให้ถี่ถ้วนเสียก่อน
กล่าวคือ ระดับของความรัก ความหวัง และความกริ่งเกรงพระองค์ที่มีในใจผู้ศรัทธานั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
. บุคคลคนนั้นรู้จักอัลลอฮ์ รู้จักคุณลักษณะเชิงวิจิตร และคุณลักษณะเชิงบริสุทธิของพระองค์เพียงใด
. บุคคลคนนั้นมีประวัติอย่างไร
. บุคคลคนนั้นมั่นใจอนาคตของตนเพียงใด
ผู้ที่ยึดมั่นคุณลักษณะเชิงบริสุทธิของพระองค์เป็นหลัก หรือเคยมีประวัติด่างพร้อยในอดีต ระดับความกลัวของเขามักจะสูงกว่าความหวัง และในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ยึดมั่นในคุณลักษณะเชิงวิจิตรเป็นหลัก และเคยได้สัมผัสความเมตตาของพระองค์ ตลอดจนมีประวัติที่ใสสะอาด หรือเคยเตาบะฮ์จากบาปมาแล้ว บุคคลประเภทนี้มักจะมีระดับความหวังที่สูงกว่าความกลัว ส่วนบุคคลทั่วไปที่มีคุณสมบัติกลางๆ ในลักษณะที่ไม่มั่นใจว่าความดีของตนจะเพียงพอหรือไม่ อีกทั้งไม่มั่นใจว่าจะรอดพ้นไฟนรกหรือเปล่า แต่ยังหวังว่าพระองค์จะอภัยโทษให้ในวันพิพากษา บุคคลประเภทนี้สามารถรักษาสมดุลย์ระหว่างปัจจัยทั้งสามได้
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ความรักและความกลัวของคนส่วนใหญ่มักจะเกิดจากความโลภและผลประโยชน์ กล่าวคือ คนส่วนใหญ่รักอัลลอฮ์เพราะหวังจะได้รับลาภต่างๆในสรวงสวรรค์ หรือไม่ก็เพราะเกรงกลัวการลงโทษในนรก แต่ยังมีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่หลงใหลความวิจิตร ความบริสุทธิ เกียรติยศและความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ ซึ่งนอกจากบรรดาศาสดาและเหล่าตัวแทนศาสดาแล้ว น้อยนักที่จะมีผู้บรรลุสถานะเช่นนี้
ท่านอิมามอลี(.)ได้จำแนกบุคคลทั้งสามกลุ่มดังกล่าวไว้ว่ากลุ่มหนึ่งภักดีต่ออัลลอฮ์เพื่อหวังลาภยศในสวรรค์ นี่คือการภักดีวิถีพ่อค้า ส่วนอีกกลุ่มภักดีต่อพระองค์เพียงเพราะกลัวไฟนรก ซึ่งก็เป็นการภักดีวิถีทาส กลุ่มสุดท้ายภักดีต่ออัลลอฮ์เพราะเหตุผลที่พระองค์ควรค่าแก่การภักดี นี่แหล่ะคือการภักดีวิถีอิสรชน[1] (อิสระจากความต้องการส่วนตัว)
ด้วยเหตุนี้เองที่ครูบาอาจารย์ด้านจริยธรรมกล่าวกันว่า ความรักคือหนึ่งในฐานรากสำคัญของการอบรมวิถีอิสลาม อัลกุรอานในฐานะคัมภีร์ด้านจริยธรรมก็ถือว่าความรักเป็นแกนหลักของความดีงามทั้งปวง ท่านอิมามศอดิก(.) ก็เคยกล่าวไว้ว่าอัลลอฮ์ทรงบ่มเพาะกริยามารยาทของท่านนบี(..)ด้วยความรัก[2]

 

กุรอานและฮะดีษอุดมไปด้วยปัจจัยการทำให้กลัว(แจ้งข่าวร้าย) และสร้างความหวัง (แจ้งข่าวดี) ทั้งนี้ วิธีดังกล่าวนับเป็นเป้าหมายหลักสำหรับผู้มีศรัทธาในระดับพื้นฐาน และเป็นตัวจุดประกายและสร้างแรงจูงใจสำหรับผู้ที่มีศรัทธาในระดับปกติ ซึ่งจะทำให้มนุษย์ค่อยๆเกิดแรงจูงใจด้วยการกำชับและสนับสนุน แล้วจึงใช้ความรักเป็นแรงบันดาลใจต่อไป[3] ฉะนั้น จึงไม่ไช่เรื่องแปลกประหลาดที่ความรักความหวัง และความกริ่งเกรงอัลลอฮ์จะมีปฏิกริยาสอดประสานกัน เพราะปฏิกริยาเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งต่อการอบรมจริยธรรมมนุษย์ เนื่องจากด้วยกับปัจจัยความกลัวเท่านั้นที่มนุษย์จะออกห่างจากกิเลสตัณหาอันเป็นต้นเหตุของความพิโรธของพระองค์ ส่งผลให้มีความนอบน้อมยอมสยบต่อพระองค์มากขึ้น และด้วยกับปัจจัยความรักและความหวังเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์ปรารถนาที่จะปฏิบัติศาสนกิจและกุศลกรรมทุกประเภทที่ทำให้ใกล้ชิดพระองค์

 

สรุปคือ ความหวังและความกลัวจะกระตุ้นให้มนุษย์ประดับประดาตนเองด้วยการกระทำความดี และปลดเปลื้องกิเลสตัณหาและบาปกรรมทุกประการ
และนี่ก็คือสภาวะในอุดมคติที่อัลลอฮ์ทรงตระเตรียมไว้สำหรับมนุษย์ ส่งผลให้ซึมซับศีลธรรมจากอัลลอฮ์ และก้าวสู่สถานะความเป็นเคาะลีฟะฮ์ของพระองค์ อันจะส่งผลให้ได้รับความปลอดภัยและความสุขสบายในโลกหน้า ดังที่โองการกุรอานกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง อาทิเช่นผู้ที่มีศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปรโลก และปฏิบัติสิ่งที่ดีงาม ผลรางวัลของพวกเขาจะสถิตอยู่  พระองค์อัลลอฮ์ และไม่เหลือความกลัวและความโศกเศร้าที่จะคุกคามพวกเขาอีกต่อไป[4]
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า ความกลัวที่ปราศจากความหวัง จะทำให้หัวใจตายด้าน ซึมเศร้า สิ้นหวัง ละทิ้งเตาบะฮ์ และทำให้จมปลักอยู่ในวังวนแห่งบาป สุดท้ายก็ต้องเผชิญกับโทษทัณฑ์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ส่วนความหวังที่ปราศจากความกลัว ก็จะทำให้เกิดความลำพองตนและผัดผ่อนการเตาบะฮ์โดยหวังจะกระทำในบั้นปลายชีวิต ทำให้คาดหวังผิดๆว่าจะได้รับความเมตตาจากพระองค์แน่นอน ที่ว่าผิดก็เพราะว่าหากไม่พยายามแสวงหาด้วยการกระทำก็ไม่ควรคาดหวังความเมตตาใดๆจากพระองค์ ด้วยเหตุนี้เองที่ท่านอิมามฮุเซน(.)กล่าวในดุอาอะเราะฟะฮ์ว่ามืดบอดเถิด สองตาที่ไม่เห็นว่าพระองค์เฝ้าดูการกระทำ และผู้ที่พระองค์มิได้ประทานความรักให้ ย่อมเป็นผู้ขาดทุนฉะนั้น ทุกคนจะได้เห็นผลกรรมของความกลัวและความหวังในโลกหน้า จำพวกหนึ่งถูกลงโทษเนื่องจากใช้ประโยชน์จากลาภของพระองค์ในทางที่มิชอบ หรือมีอาการสิ้นหวังในพระองค์จึงหันไปทำบาปจนหนำใจ หรือถูกหลอกให้เริงโลกย์จนลืมเก็บเกี่ยวกุศลกรรม  อีกจำพวกหนึ่งได้รับลาภบริสุทธิ์ โดยไม่ต้องกลัวเกรงสิ่งใด พวกเขาคือผู้ที่ได้รักษาสมดุลย์ระหว่างความกลัวและความหวัง ทำให้สามารถเป็นแนวหน้าในการงดเว้นบาปและตักตวงบุญ

 

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาศึกษาจากหมวดความกลัวและความหวังหรือความรักหรือการอุปถัมภ์ในหนังสือจริยธรรมอิสลามทั่วไป อาทิเช่น
1. ระดับจริยธรรมในกุรอาน,อายะตุลลอฮ์ ญะวาดี ออโมลี,หน้า
อธิบายสี่สิบฮะดีษ, อิมามโคมัยนี,หน้า
จริยศาสตร์ในกุรอาน, มุฮัมมัดตะกี มิศบาห์ ยัซดี,หมวดความกลัวและความหวัง.

 

 

[1] คำแปลนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์,.มุฮัมมัด ดัชที, ฮิกมะฮ์ที่237,หน้า678

[2] บิฮ้ารฯ,เล่ม17,หน้า3.

[3] ระดับจริยธรรมในกุรอาน,อายะตุลลอฮ์ ญะวาดี ออโมลี,หน้า330-332

[4] ซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์,62 และอัลมาอิดะฮ์,65 สรุปเนื้อหาจากคำถามที่ 64

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ความต่างกิจกรรมของวิญญาณขณะนอนหลับ และสลบคืออะไร?
    16383 ปรัชญาอิสลาม 2555/09/29
    รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณขณะตื่นนอน กับการปฏิสัมพันธ์ขณะนอนหลับนั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ตามคำสอนของอิสลามจึงได้เรียกการนอนหลับว่า เป็นพี่น้องของความตาย วิทยาศาสตร์แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายขณะนอนหลับ แต่สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายขณะนอนหลับได้ บนพื้นฐานของการค้นคว้านั้นและการทำสอบพบว่ามนุษย์มีการนอนหลับในสองระดับ ด้วยนามว่า REM และ Non REM ซึ่งทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วการความฝันที่มักเกิดในระดับของ Non REM เกิดจากการหลับลึกซึ่งจะไม่อยู่ในความทรงจำ แต่เฉพาะการนอนหลับในระ REM เท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ ส่วนการสลบหมดสติเกิดจากการเบี่ยงเบนของวิญญาณ และเป็นการหลับที่ลุ่มลึกมาก ทำให้เขาไม่มีความทรงจำอันใดหลงเหลืออยู่ ...
  • ตักวาหมายถึงอะไร?
    17805 จริยธรรมทฤษฎี 2555/01/23
    ตักว่าคือพลังหนึ่งที่หยุดยั้งจิตด้านในซึ่งการมีอยู่ของมนุษย์คือสาเหตุของการมีพลังนั้นและพลังดังกล่าวจะพิทักษ์ปกป้องมนุษย์ให้รอดพ้นจากการกระทำความผิดฝ่าฝืนต่างๆความสมบูรณ์ของตักวานอกจากจะช่วยทำให้มนุษย์ห่างไกลจากความผิดบาปและการก่ออาชญากรรมต่างๆ
  • เหตุใดจึงเรียกอิมามฮุเซนว่าษารุลลอฮ์?
    7333 จริยธรรมทฤษฎี 2554/12/11
    ษารุลลอฮ์ให้ความหมายว่าการชำระหนี้เลือดแต่ก็สามารถแปลว่าเลือดได้เช่นกันตามความหมายแรกอิมามฮุเซนได้รับฉายานามนี้เนื่องจากอัลลอฮ์จะเป็นผู้ทวงหนี้เลือดให้ท่านแต่หากษารุลลอฮ์แปลว่า"โลหิตพระเจ้า" การที่อิมามได้รับฉายานามดังกล่าวเป็นไปตามข้อชี้แจงต่อไปนี้:1. "ษ้าร"เชื่อมกับ"อัลลอฮ์"เพื่อให้ทราบว่าเป็นโลหิตอันสูงส่งเนื่องจากเป็นการเชื่อมคำในเชิงยกย่อง2.มนุษย์ที่บรรลุสู่ความสมบูรณ์ในระดับใกล้ชิดทางภาคบังคับต่างก็เป็นหัตถาพระเจ้าชิวหาพระเจ้าและโลหิตพระเจ้าหมายถึงถ้าหากพระองค์ทรงประสงค์จะทำสิ่งใดมนุษย์ผู้นี้จะเป็นดั่งพระหัตถ์หากทรงประสงค์จะตรัสเขาจะเป็นดั่งชิวหาและหากพระองค์ทรงประสงค์จะพิทักษ์ศาสนาของพระองค์ด้วยโลหิตเขาจะเป็นดั่งโลหิตพระองค์อิมามฮุเซน(อ.)เป็นดั่งโลหิตพระองค์เนื่องจากโลหิตของท่านช่วยชุบชีวิตแก่ศาสนาของพระองค์เราเชื่อว่าความหมายแรกเป็นความหมายที่เหมาะสมกว่าแต่ความหมายที่สองก็เป็นคำธิบายที่น่าสนใจเช่นกันโดยเฉพาะหากเป็นผู้ที่อยู่ในแวดวงจาริกทางจิตอาจทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้งกว่า ...
  • อัลลอฮฺคือสาเหตุที่แท้จริงของการอธรรม และผู้อธรรมหรือ?
    11254 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/09/29
    สำหรับคำตอบคำถามเหล่านี้ จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญเหล่านี้ก่อน 1.รากที่มาของการอธรรมของผู้อธรรมทั้งหลาย สามารถสรุปได้ใน 4 ประเด็นดังนี้คือ 1.ความโง่เขลา 2. การเลือกสรร 3. ความประพฤติอันเลวทราม 4. ความอ่อนแอไร้สามารถ, แต่อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไม่ความอธรรมใดๆ ในพระองค์ ด้วยเหตุนี้ สำหรับพระองค์แล้วคือ ผู้ยุติธรรม ซึ่งเป็นหน่วยเนื้อเดียวกันกับความยุติธรรม และเนื่องจากพระองค์ทรงรอบรู้ และทรงยุติธรรม ภารกิจของพระองค์จึงวางอยู่บนความยุติธรรม และวิทยปัญญาเท่านั้น 2.อัลลอฮฺ ทรงสร้างมนุษย์มาในลักษณะเดียวกัน และได้ประทานแนวทางแห่งการชี้นำทางแก่พวกเขา และทั้งหมดมีสิทธิที่จะเลือกสรรด้วยตนเอง ซึ่งมีบางกลุ่มด้วยเหตุผลนานัปการ หรือมีปัจจัยหลายอย่างเป็นแรงจูงใจให้พวกเขาเลือกหนทางหลงผิด และการอธรรม บางกลุ่มพยายามต่อสู้ชนิดขุดรากถอนโคนการอธรรม ที่แฝงเร้นอยู่ในใจของตนเอง พวกเขามุ่งไปสู่หนทางแห่งการชี้นำ และความยุติธรรม พยามประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ตามรากที่มาของคำถามเหล่านี้ ล้วนมาจากความคิดที่ว่ามนุษย์ได้รับการบีบบังคับให้เป็นเช่นนั้น หรือที่เรียกว่าพรหมลิขิต ทั้งที่เหตุผลของพรหมลิขิตมิเป็นที่ยอมรับแต่อย่างใด เราเชื่อตามคำสอนของศาสนา ...
  • ท่านอับบาสอ่านกลอนปลุกใจว่าอย่างไรขณะกำลังนำน้ำมา
    8982 ชีวประวัตินักปราชญ์ 2554/12/25
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • ข้อแตกต่างระหว่างมะอ์นะวียัตในอิสลามและคริสตศาสนา
    6859 เทววิทยาใหม่ 2554/10/24
    คุณค่าของมะอ์นะวียัตของแต่ละศาสนาขึ้นอยู่กับคุณค่าของศาสนานั้นๆคำสอนของคริสตศาสนาบางประการขัดต่อสติปัญญาโดยที่ชาวคริสเตียนเองก็ยอมรับเช่นนั้นมะอ์นะวียัตที่ได้จากคำสอนเช่นนี้ก็ย่อมมีข้อผิดพลาดเป็นธรรมดาและนี่คือข้อแตกต่างหลักระหว่างมะอ์นะวียัตของอิสลามและคริสตศาสนากล่าวคือโดยพื้นฐานแล้วมะอ์นะวียัตของคริสต์ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้เมื่อพิจารณาถึงแหล่งเนื้อหาที่มีบางจุดขัดต่อสติปัญญาทำให้ไม่สามารถจะนำพาสู่ความผาสุกได้อย่างไรก็ดีสภาพมะอ์นะวียัตของตะวันตกในปัจจุบันย่ำแย่ไปกว่ามะอ์นะวียัตดั้งเดิมของคริสตศาสนาเสียอีกในขณะที่มะอ์นะวียัตของอิสลามนั้นได้รับอิทธิพลจากคำสอนจากวิวรณ์
  • ผู้มีญุนุบที่ได้ทำตะยัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ สามารถเข้ามัสยิดได้หรือไม่?
    6954 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/08
    ผู้ที่มีญุนุบที่อยู่ในเงื่อนไขที่สามารถทำตะญัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่นั้นหลังจากที่ได้ทำการตะยัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่แล้วก็สามารถเข้าไปในมัสยิดเพื่อร่วมทำนมาซญะมาอัตหรือฟังบรรยายธรรมได้ท่านอิมามโคมัยนีได้ให้คำตอบเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า: “ผลพวงทางด้านชาริอะฮ์ที่เกิดขึ้นจากการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่จะมีในกรณีการทำการตะยัมมุมทดแทนเช่นกันนอกจากกรณีการตะยัมมุมทดแทนด้วยเหตุผลที่จะหมดเวลานมาซมัรญะอ์ท่านอื่นๆก็มีทัศนะนี้เช่นเดียวกัน
  • ความสำคัญ และปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คืออะไร?
    7696 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/20
    สำหรับการติดตามผลอย่างมีนัยของการให้ความสำคัญและปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้:1. ...
  • กาสาบานต่อท่านศาสดาและอิมามในเดือนรอมฎอนคือ สาเหตุทำให้ศีลอดเสียหรือ?
    7299 สิทธิและกฎหมาย 2555/07/16
    การสาบาน มิใช่หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ศีลอดเสีย แต่ถ้าได้สาบานโดยพาดพิงสิ่งโกหกไปยังอัลลอฮฺ (ซบ.) ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และตัวแทนของท่านโดยตั้งใจ ซึ่งสาเหตุนี้เองที่กล่าวว่า เป็นการโกหกที่พาดพิงไปยังอัลลอฮฺ ศาสดา (ซ็อลฯ) และตัวแทนของท่าน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ศีลอดเสีย ส่วนคำสาบานต่างๆ ที่อยู่ในบทดุอาอฺไม่ถือว่าโกหก ทว่าเป็นการเน้นย้ำและอ้อนวอนให้ตอบรับดุอาอฺที่ขอต่ออัลลอฮฺ ซึ่งไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้ศีลอดเสียแต่อย่างใด ...
  • ปรัชญาของการมีทาสในอิสลามคืออะไร? อิสลามมีวิธีการจัดการกับสิ่งเหล่าอย่างไร?
    12116 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    ถูกต้องบทบัญญัติเกี่ยวกับ การแต่งงานกับทาส, การเป็นมะฮฺรัมกับทาส, สัญญาซื้อขาย (ข้อตกลงที่จะปล่อยทาสเป็นไท) และ ...ได้ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน, การมีทาสได้รับการยืนยันว่ามีจริงในสมัยของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) และต้นยุคอิสลาม แต่จำเป็นต้องกล่าวว่าอิสลามมีโปรแกรมที่ละเอียดอ่อน และมีกำหนดเวลาในการปลดปล่อยทาสให้เป็นไท ซึ่งบั้นปลายสุดท้ายของทั้งหมดเหล่านั้นคือ การได้รับอิสรภาพเป็นไททั้งสิ้น ดังนั้นการเผชิญหน้าของอิสลามกับปัญหาเหล่านี้ จำเป็นต้องกล่าวถึงประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้: 1-อิสลามมิเคยเริ่มต้นปัญหาเรื่องทาส 2-อิสลามถือว่าปัญหาชะตากรรม และความเจ็บปวดใจของทาสในอดีตที่ผ่านมาคือ ปัญหาความล้าหลังอันยิ่งใหญ่ของสังคม 3-อิสลามได้วางโครงการที่ละเอียดอ่อน เพื่อปลดปล่อยทาสให้เป็นไท, เนื่องจากครึ่งหนึ่งของพลเมืองในสมัยก่อนเป็นทาสทั้งสิ้น, พวกเขาไม่มีอิสรเสรีในการประกอบอาชีพการงาน, ไม่มีปัจจัยสำหรับการดำเนินชีวิตต่อไป.ถ้าหากอิสลามได้มีคำสั่งต่อสาธารณชนว่าให้ทั้งหมดปล่อยทาสให้เป็นไท, ซึ่งเป็นไปได้ว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาจะต้องสูญเสียชีวิต หรือไม่ชนส่วนใหญ่ก็จะต้องว่างงานไร้อาชีพ หิวโหย ถูกกีดกัน และพวกเขาต้องได้รับแรงกดดันจนกระทั่งเข้าทำร้ายและโจมตีในทุกที่ การประจัญบาน การนองเลือด และการทำลายกฎระเบียบของสังคมก็จะทวีความรุนแรงขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง อิสลามได้วางแผนการไว้อย่างละเอียด เพื่อดึงดูดสังคมให้ทาสเหล่านี้ได้รับอิสรภาพ และเป็นไทไปที่ละน้อย ซึ่งแผนการดังกล่าวมีองค์ประกอบหลายประการด้วยกัน ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60136 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57576 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42222 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39377 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38954 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34008 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28026 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27971 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27808 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25805 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...