การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
14530
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/06/28
 
รหัสในเว็บไซต์ fa863 รหัสสำเนา 14813
คำถามอย่างย่อ
“มุอ์มินีน”หมายถึงมุสลิมกลุ่มใด?
คำถาม
มุสลิมกลุ่มใดคือ“มุอ์มินีน”ที่กุรอานกล่าวถึงบ่อยครั้ง?
คำตอบโดยสังเขป

มุอ์มินีน คือกลุ่มผู้ศรัทธา ยอมจำนนต่ออัลลอฮ์ และเชื่อฟังศาสนทูตของพระองค์ทุกท่าน  ซึ่งหากพิจารณาจากการที่อีหม่านของคนเรามีระดับที่ไม่เท่ากัน รวมถึงการที่กุรอานและฮะดีษถือว่าการเชื่อฟังอะฮ์ลุลบัยต์เป็นสัญลักษณ์ของผู้มีอีหม่านระดับสูง และจากการเปรียบเทียบแนวคิดของมัซฮับต่างๆกับเนื้อหาของอัลกุรอาน ก็จะได้ผลลัพธ์ว่า ผู้เจริญรอยตามอะฮ์ลุลบัยต์เท่านั้นที่เป็นผู้ศรัทธาที่มีระดับอีหม่านสูงเด่นตามทัศนะกุรอาน
อย่างไรก็ดี คำว่ามุอ์มินดังที่กล่าวมาข้างต้น ย่อมหมายถึงผู้ที่เชื่อมั่นในอะฮ์ลุลบัยต์ ทั้งในแง่แนวคิดและภาคปฏิบัติอย่างแท้จริง มิไช่บุคคลที่แอบอ้างอย่างฉาบฉวย

อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องคำนึงถึงข้อเตือนใจสามประการ คือ.
หนึ่ง: คำว่าอิสลามกินความหมายกว้างกว่าคำว่าอีหม่านโดยที่ฮะดีษบทต่างๆ ได้อธิบายคุณลักษณะของมุอ์มินไว้แล้ว ฉะนั้น แม้ผู้ใดมีคุณสมบัติไม่ครบ ก็มิได้หมายความว่าเขามิไช่มุสลิม

สอง: นับตั้งแต่อิสลามยุคแรกเป็นต้นมา ทุกมัซฮับต่างก็แสดงความรักและให้เกียรติอะฮ์ลุลบัยต์ด้วยกันทั้งสิ้น ผู้รู้ฝ่ายซุนหนี่หลายท่านก็เคยประพันธ์หนังสือมากมายเกี่ยวกับอัตชีวประวัติของอะฮ์ลุลบัยต์  ซึ่งเราจะหยิบยกมานำเสนอในส่วนของรายละเอียดคำตอบ.

สาม: ผู้ที่ถือตามมัซฮับอื่นๆล้วนได้รับเกียรติในสายตาของผู้ยึดถือแนวทางอะฮ์ลุลบัยต์ และมีการถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว การศึกษา ความร่วมมือทางการเมืองและสังคม จึงทำให้สามารถพบเห็นผู้รู้ชีอะฮ์บางท่านเคยเล่าเรียนศาสตร์บางแขนงจากผู้รู้ฝ่ายซุนหนี่ ขณะเดียวกัน ในตำราฮะดีษของฝ่ายซุนหนี่ก็มีรายชื่อนักรายงานฮะดีษชีอะฮ์ปรากฏอยู่มากมาย

อย่างไรก็ดี การเสริมสร้างเอกภาพระหว่างพี่น้องมุสลิมถือเป็นวิธีขับเคลื่อนอิสลามสู่ความก้าวหน้า อีกทั้งยังเป็นปราการแข็งแกร่งที่ป้องกันศัตรูอิสลาม จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงเอกภาพมากกว่ารายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ.

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำว่ามุอ์มินมาจากรากศัพท์امنซึ่งมีความหมายว่า การแสดงท่าทียอมรับ, เชื่อมัน และความอุ่นใจ, การยอมสยบ.[1] คำว่ามุอ์มินีนจึงแปลว่า กลุ่มผู้ให้การยอมรับ
ส่วนความหมายในแวดวงอิสลาม คำนี้ใช้กับผู้ศรัทธาในอัลลอฮ์ ภักดีและยอมสยบต่อพระองค์ รวมทั้งเชื่อฟังบรรดาศาสนทูต  ท่านนบีกล่าวว่าอีหม่านประกอบด้วยการบรรลุด้วยใจ เอ่ยด้วยวจี และปฏิบัติด้วยสรรพางค์กาย[2]

สัญลักษณ์ของมุอ์มินที่ระบุในกุรอาน

กุรอานได้ระบุถึงสัญลักษณ์ของผู้ศรัทธาไว้ อาทิเช่น มุอ์มินเป็นผู้ที่ดำรงนมาซด้วยความนอบน้อม บริจาคในหนทางของพระองค์ หวังความสำเร็จจากพระองค์ กำชับกันในความดีและห้ามปรามจากความชั่ว หลีกห่างสิ่งไร้สาระ รักนวลสงวนตน เชื่อฟังและยอมสยบต่ออัลลอฮ์และท่านนบี(..)[3]
สัญลักษณ์ของมุอ์มินที่ระบุในกุรอานมิได้มีเพียงเท่านี้ สามารถกล่าวโดยสรุปได้ว่า มุอ์มินที่แท้จริงคือผู้ที่สยบต่อคำบัญชาและสารธรรมจากอัลลอฮ์และท่านนบี(..)โดยดุษณี[4] มิไช่ผู้ที่เลือกปฏิบัติศาสนกิจตามใจชอบ ทั้งนี้ฮะดีษต่างๆได้สาธยายคุณสมบัติของมุอ์มินไว้ดังนี้: เป็นผู้สงวนตนจากกิเลศตัณหาแม้ในที่ลับตาคน บริจาคทานทั้งที่ตนเองขัดสน อดทนต่อความทุกข์ยาก ระงับอารมณ์ยามโกรธ รักษาสัจจะ หวังความสำเร็จจากพระองค์ เชื่อฟังคำสั่งและพึงพอใจในลิขิตของพระองค์[5]

อนึ่ง แม้มุอ์มินทุกคนจะมีจุดร่วมเดียวกันในฐานะที่ยอมรับและเชื่อฟังพระองค์ แต่เนื่องจากมนุษย์เรามักจะมีความแตกต่างกันในแง่ของความรู้และความมุ่งมั่น จึงส่งผลให้ระดับอีหม่านของแต่ละคนแตกต่างกัน เป็นเหตุให้ฐานะภาพของมุอ์มินไม่เท่าเทียมกัน[6]ท่านอิมามศอดิก(.)กล่าวว่าอีหม่านเปรียบดั่งบันไดสิบขั้น ซึ่งจะต้องก้าวขึ้นไปละขั้น[7]

การยอมรับในวิลายะฮ์ของอะฮ์ลุลบัยต์ก็ถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของอีหม่าน บทสรุปที่ได้จากการศึกษากุรอานและฮะดีษก็คือความเชื่อที่ว่า การเชื่อฟังอะฮ์ลุลบัยต์มีบทบาทสำคัญในการสร้างเสริมอีหม่าน และหากผู้ใดมิได้ดำเนินชีวิตบนแนวทางของอะฮ์ลุลบัยต์ ย่อมถือว่าองค์ประกอบอีหม่านของเขายังบกพร่องอยู่

เราขอพิสูจน์วาทกรรมดังกล่าวโดยอ้างอิงโองการกุรอานและฮะดีษดังต่อไปนี้

1. โองการตับลีฆที่กล่าวว่าโอ้ศาสนทูต จงเผยแผ่สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าประทานแด่เจ้า และมาตรว่าเจ้าไม่กระทำ (เท่ากับว่า)เจ้ามิได้เผยแผ่ศาสนสาส์นใดๆของพระองค์เลย[8]
อิบนุ อะซากิร(ผู้รู้ที่มีชื่อเสียงฝ่ายซุนหนี่) ได้รายงานจากอิบนุ สะอี้ด คุดรีด้วยสายรายงานศ่อเฮี้ยะห์ว่า โองการนี้ประทานแก่ท่านนบีในวันแห่งเฆาะดีร คุม โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับท่านอลี()[9] จากโองการนี้ทำให้ทราบว่า การเผยแผ่ตำแหน่งวิลายะฮ์ของท่านอิมามอลี(.)ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในภารกิจการเป็นศาสนทูตของท่านนบี(..) นั่นหมายความว่า การยอมรับวิลายะฮ์ของท่านอิมามอลี(.)คือองค์ประกอบหลักของการยอมรับความเป็นศาสดาของท่านนบี(..)

2. โองการวิลายะฮ์ที่กล่าวว่าผู้มีสิทธิเหนือสูเจ้ามีเพียงอัลลอฮ์ และศาสนทูตของพระองค์ และเหล่ามุอ์มินที่ดำรงนมาซและบริจาคท่านแก่ผู้ยากไร้ขณะโค้งรุกู้อ์[10]
ตำราอรรถาธิบายกุรอานและตำราฮะดีษของฝ่ายซุนหนี่ต่างเห็นพ้องกันว่า โองการดังกล่าวประทานลงมาในกรณีของท่านอลี (.)[11]

ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า หากผู้ใดเมินเฉยไม่ยอมรับวิลายะฮ์ของท่านอิมามอลี(.) เท่ากับว่าเขากำลังเมินเฉยต่อคำบัญชาที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของพระองค์เลยทีเดียว โองการข้างต้นระบุชัดเจนว่าวิลายะฮ์ของท่านอิมามอลีอยู่เคียงข้างวิลายะฮ์ของอัลลอฮ์และท่านนบี(..) และในเมื่อความศรัทธาต่ออัลลอฮ์และท่านนบี(..)ถือเป็นองค์ประกอบหลักของอีหม่าน วิลายะฮ์ของท่านอิมามอลี(.)จึงนับเป็นองค์ประกอบหลักของอีหม่านด้วยเช่นกัน ยังมีอีกหลายโองการที่ยืนยันเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เพื่อไม่ให้คำตอบยืดยาวจึงขอยกมาเพียงสองโองการ

นอกจากนี้ยังมีฮะดีษรายงานจากท่านนบี(..)อีกมากมาย ซึ่งเราขอหยิบยกมาบางส่วนดังต่อไปนี้
1. ฮะดีษษะเกาะลัยน์: ทั้งฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่ต่างรายงานตรงกันว่า ท่านนบี(..)ได้กล่าวว่าฉันขอฝากฝังเกี่ยวกับสองสิ่งสำคัญ ที่หากพวกท่านยึดเหนี่ยวไว้ ก็จะไม่หลงทางอย่างแน่นอน, นั่นคือคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และวงศ์วานของฉัน[12]
ฮะดีษนี้ชี้ชัดว่าหากไม่ยึดเหนี่ยวอะฮ์ลุลบัยต์ ย่อมต้องพบกับความหลงทางอย่างไม่ต้องสงสัย จึงเข้าใจได้ว่าการเชื่อฟังอะฮ์ลุลบัยต์เป็นส่วนสำคัญของอีหม่านอย่างแท้จริง.

2. ฮะดีษสะฟีนะฮ์: ท่านนบีกล่าวว่าอุปมาอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน อุปไมยสำเภาท่านนบีนู้ห์ ผู้ใดเมินเฉยไม่สนใจ เขาจะพินาศในไฟนรก[13] ฮะดีษนี้มีนัยยะชัดเจนว่าการเคารพเชื่อฟังอะฮ์ลุลบัยต์ ถือเป็นส่วนหนึ่งของแก่นแท้แห่งอีหม่าน.

3. ฮะดีษมันซิละฮ์: ท่านนบีกล่าวแก่อิมามอลีว่าฐานะภาพของเธอที่มีต่อฉัน เทียบเท่าฐานะภาพของนบีฮารูนที่มีต่อนบีมูซา จะต่างกันเพียงว่าหลังจากฉันจะไม่มีศาสดาคนใดอีก[14] เนื้อหาของฮะดีษนี้ระบุชัดเจนว่า นอกจากตำแหน่งศาสดาแล้ว ท่านอิมามอลีมีฐานะภาพคล้ายคลึงกับท่านนบี(..)ทุกอย่าง  ทำให้ทราบว่า การเคารพเชื่อฟังท่านอิมามอลีมีผลโดยตรงต่อระดับอีหม่านในทำนองเดียวกับการเคารพเชื่อฟังท่านนบี(..)

ท่านอิมามบากิร กล่าวว่าอิสลามตั้งอยู่บนพื้นฐานห้าประการ นมาซ, ซะกาต, ศีลอด, ฮัจย์ และวิลายะฮ์ แต่ไม่มีประการใดจะได้รับการเน้นย้ำเชิญชวนเท่ากับวิลายะฮ์[15]
ท่านอิมามศอดิก กล่าวว่าหากแผ่นดินปราศจากอิมามเมื่อใด มันจะพังพินาศในบัดดล[16]
ฮะดีษเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของหลักอิมามะฮ์และวิลายะฮ์(ภาวะผู้นำของอะฮ์ลุลบัยต์)ในการจุดคบเพลิงศรัทธาได้เป็นอย่างดี

จากเนื้อหาที่นำเสนอท่านผู้อ่านทั้งหมด ทำให้ทราบว่า มัซฮับเดียวที่สอดคล้องกับคำสอนของกุรอานอย่างแนบสนิท ทั้งในแง่ของความเชื่อ แนวคิด ทฤษฎีด้านศีลธรรม นิติศาสตร์และวิถีปฏิบัติ ก็คือมัซฮับที่เชื่อฟังอะฮ์ลุลบัยต์ อันเป็นแนวทางที่ทำให้สามารถเข้าใจแก่นแท้ของกุรอานและฮะดีษ ทำให้รอดพ้นความหลงผิดและข้อบิดเบือนคำสอนอิสลาม 

เพื่อพิสูจน์ทัศนคติดังกล่าว ควรคำนึงถึงสองประเด็นต่อไปนี้
หนึ่ง: ทั้งสายชีอะฮ์และซุนหนี่ต่างรายงานฮะดีษจากท่านนบีตรงกันว่า มุสลิมกลุ่มที่จะได้รับชัยชนะก็คือชีอะฮ์[17]
สอง: ควรศึกษาความเชื่อของฝ่ายชีอะฮ์โดยเปรียบเทียบกับกุรอาน
ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ควรศึกษาจากหนังสือที่ผู้รู้ฝ่ายชีอะฮ์เขียนขึ้นเพื่อชี้แจงหลักความเชื่อของตน อาทิเช่น อะกออิดุช ชีอะฮ์ โดย มัรฮูม มุซ็อฟฟัร, บทเรียนอะกออิด โดย อุสตาซ มิศบาฮ์, ประมวลความเชื่อชีอะฮ์ โดย อุสตาซ ซุบฮานี, ชีอะฮ์ โดย อัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอี, อัลมุรอญะอ้าต และ อัศลุชชีอะฮ์ วะ อุศูลุฮา ...ฯลฯ

อย่างไรก็ดี การที่จะศึกษาความเชื่อของมัซฮับใดอย่างถ่องแท้ ควรพิจารณาดังนี้
1. ควรพิจารณาความเชื่อของมัซฮับที่ต้องการศึกษาจากแหล่งข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับของมัซฮับนั้นๆ ก่อนจะตัดสินว่ามัซฮับดังกล่าวถูกหรือผิด.
2.
ไม่ควรนำระดับความเคร่งครัดของผู้นับถือมัซฮับมาใช้พิจารณาความถูกต้องของเนื้อหามัซฮับได้ ต้องทราบว่า ชีอะฮ์ที่แท้จริงคือผู้ที่เข้าใจและยึดมั่นในความเชื่อของชีอะฮ์  ไม่ว่าจะในแง่ความรู้ ทัศนคติ และแนวพฤติกรรม มิไช่ผู้ที่แอบอ้างอย่างฉาบฉวย หรือผู้ที่เป็นชีอะฮ์ตามผู้อื่น
ทั้งนี้ บรรดาอิมามได้ระบุคุณสมบัติของชีอะฮ์ไว้อย่างชัดเจน ท่านอิมามบากิรกล่าวว่าขอสาบานต่ออัลลอฮ์ บุคคลที่ขาดคุณสมบัติต่อไปนี้หาไช่ชีอะฮ์ของเราไม่ เขาต้องยำเกรงและเชื่อฟังอัลลอฮ์ เห็นได้จากการที่เขานอบน้อมถ่อมตน ซื่อสัตย์ ปรนนิบัติบุพการี ช่วยเหลือเพื่อนบ้านผู้ยากไร้ ผู้มีหนี้สิน และลูกกำพร้า มีสัจจะวาจา อัญเชิญกุรอานเป็นประจำ และไม่เอ่ยวาจาต่อผู้ใดเว้นแต่คำอันไพเราะ[18]

สุดท้ายนี้ไคร่ขอนำเสนอสามประเด็นสำคัญ
1. ความหมายของคำว่าอิสลามย่อมกว้างกว่าคำว่าอีหม่านเสมอ ส่วนคำว่ามุอ์มินเป็นศัพท์ที่ได้รับการอธิบายโดยฮะดีษต่างๆไว้แล้ว ซึ่งหมายความว่าหากผู้ใดยังมีคุณสมบัติไม่ครบตามเงื่อนไข ก็มิได้หมายความว่าเขาพ้นสภาพมุสลิมแต่อย่างใด.
อิมามบากิร(.) กล่าวว่าอีหม่านคือสิ่งที่สถิตอยู่  หัวใจ และจะเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้รับการยืนยันโดยการปฎิบัติตามคำบัญชาและยอมสยบต่อพระองค์ ส่วนอิสลามคือสิ่งที่เผยออกทางวาจาหรือพฤติกรรม อันเป็นสิ่งที่ผู้คนจากทุกมัซฮับล้วนให้การยอมรับ ส่งผลให้พวกเขาได้รับความปลอดภัยในชีวิต ได้รับมรดก และสมรสกันอย่างถูกทำนองคลองธรรม ผู้คนจะปฏิบัตินมาซ จ่ายซะกาต ถือศีลอด และประกอบพิธีฮัจย์ โดยสิ่งเหล่านี้จะจำแนกพวกเขาออกจากกุฟร์(มิจฉาทิฐิ) และนำพาสู่อีหม่าน...”[19]

2. ทุกมัซฮับล้วนให้เกียรติอะฮ์ลุลบัยต์ด้วยกันทั้งสิ้น เห็นได้จากการที่มุสลิมจากทุกมัซฮับนับตั้งแต่อิสลามยุคแรกจวบจนปัจจุบัน ล้วนแสดงความรักความนิยมต่ออะฮ์ลุลบัยต์มาโดยตลอด อุละมาอ์ฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์บางท่านได้ประพันธ์หนังสือเกี่ยวกับบรรดาอิมามในวงศ์วานอะฮ์ลุลบัยต์โดยเฉพาะ อาทิเช่น
มะวัดดะตุล กุรบา, มีร ซัยร์ อลี ชาฟิอี.
ยะนาบีอุล มะวัดดะฮ์, เชค สุลัยมาน บัลคี ฮะนะฟี.
มิอ์รอญุล วุศูล ฟี มะอ์ริฟะติ อาลิร เราะซูล, ฮาฟิซ ญะมาลุดดีน ซะร็อนดี.
มะนากิ้บ วะ ฟะฎออิล อะฮ์ลิลบัยต์, ฮาฟิซ อบูนะอีม อิศฟะฮานี.
มะนากิ้บ อะฮ์ลิลบัยต์, อิบนุ มะฆอซิลี ฟะกีฮ์ ชาฟิอี.
ร็อชฟะตุศ ศอดี มิน บะฮ์ริ ฟะฎออิลิ บะนิน นบียิล ฮาดี, ซัยยิด อบีบักร์ บิน ชะฮาดะตุดดีน อะละวี.
อัลอิตฮาฟ บิฮุบบิล อัชรอฟ, เชค อิบดุลลอฮ์ มุฮัมมัด บิน อามิร ชิบรอวี.
อิห์ยาอุล มัยยิต บิฟะฎออิลิ อะฮ์ลิลบัยต์, ญะลาลุดดีน สุยูฏี.
ฟะรออิดุส สิมฏ็อยน์ ฟี ฟะฎออิลิล มุรตะฎอ วัซซะฮ์รอ วัซซิบฏ็อยน์, ชัยคุลอิสลาม อิบรอฮีม บิน มุฮัมมัด เฮาบะนี.
ซะคออิรุล อุกบา, อิมามุล ฮะร็อม ชาฟิอี.
ฟุศูลุล มุฮิมมะฮ์ ฟี มะอ์ริฟะติล อะอิมมะฮ์, นูรุดดีน บิน ศ่อบ้าฆ มาลิกี.
ตัซกิเราะตุล เคาะวาศิล อุมมะฮ์ ฟี มะอ์ริฟะติล อะอิมมะฮ์, ยูซุฟ สิปฏ์ บิน เญาซี.
กิฟายะตุฏฏอลิบ, มุฮัมมัด บิน ยูสุฟ ฆันญี ชาฟิอี.
มะฏอลิบิส สุอ์ลิ ฟี มะนากิบิ อาลิร เราะซูล, มุฮัมมัด บิน ฏ็อลหะฮ์ ชาฟิอี.

3. กลุ่มผู้เจริญรอยตามอะฮลุลบัยต์ต่างให้เกียรติพี่น้องต่างมัซฮับ และมีพฤติกรรมถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะในด้านความสัมพันธ์ฉันเครือญาติ การเรียนการสอน ความร่วมมือด้านการเมืองและสังคม. ดังจะเห็นได้จากการที่อุละมาอ์ชีอะฮ์บางท่านเรียนรู้ศาสตร์บางแขนงจากอาจารย์ฝ่ายซุนหนี่ ดังกรณีของชะฮีด เอาวัล(มุฮัมมัด บิน มักกี) ซึ่งกล่าวกันว่าท่านได้รับอนุญาตให้สามารถรายงานฮะดีษจากอุละมาอ์ซุนหนี่กว่าสี่สิบท่านอย่างเป็นทางการ.[20]
ในทางตรงกันข้าม นักรายงานฮะดีษชีอะฮ์ก็มีบทบาทในการสืบทอดฮะดีษตามตำราสำคัญๆของฝ่ายซุนหนี่ไม่น้อย โดยท่านซัยยิด ชะเราะฟุดดีนได้รวบรวมชื่อบุคคลเหล่านี้ไว้ถึงหนึ่งร้อยท่านในหนังสือ อัลมุรอญะอาต.
อย่างไรก็ดี เอกภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างพี่น้องมุสลิม ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนประชาคมมุสลิมสู่ความก้าวหน้า และยังเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดในการเผชิญหน้ากับศัตรูอิสลาม.

ผู้สนใจสามารถหาอ่านเพิ่มเติมจาก:
คำถาม248, ดัชนี ชีอะฮ์กับสวรรค์
คำถาม283, ดัชนี สวรรค์กับต่างศาสนิก
คำถาม323, ดัชนี ผู้ผิดกับการรอดพ้นจากนรก.


[1] มุอ์ญัม มะกอยีซุล ลุเฆาะฮ์, อักร่อบุลมะวาริด, พจนานุกรมรวม, คำว่าامن

[2] กันซุ้ล อุมม้าล, หน้า 95.

[3] อัลอันฟาล, 2-4 และ อัตเตาบะฮ์, 71 และ อัลมุอ์มินูน, 1-11.

[4] อันนิซาอ์, 65, 150.

[5] อุศู้ล อัลกาฟี, เล่ม 2, หน้า 71, 232.

[6] อัลอันฟาล, 4 และ อัลมุญาดะละฮ์, 11 และ อัตเตาบะฮ์, 20.

[7] อุศู้ล อัลกาฟี, เล่ม 2, หน้า 45.

[8] อัลมาอิดะฮ์, 67.

[9] อิบนุ อะซากิร, ตัรญิมะฮ์ อิมามอลี(), เล่ม 2, หน้า 86.

[10] อัลมาอิดะฮ์, 55.

[11] วาฮิดี, อัสบาบุ้นนุซูล,หน้า 133 และ อัลกัชช้าฟ เล่ม 1, หน้า 649. และ อบูบักร์ ญัศศอศ, อะห์กามุ้ลกุรอาน, เล่ม 2, หน้า 446.

[12] เศาะฮี้ห์ ติรมิซี, เล่ม 5, หน้า 621.

[13] อิบนิ อะษี้ร, นิฮายะฮ์, รากศัพท์ زخ

[14] เศาะฮี้ห์ ติรมิซี, เล่ม 5, หน้า 641.

[15] อัลกาฟี, เล่ม 2,หน้า 18.

[16] อ้างแล้ว, เล่ม 1,หน้า 179.

[17] ดุรรุ้ล มันษู้ร, เล่ม 6,อธิบายโองการ7 ซูเราะฮ์อัลบัยยินะฮ์ และ อัลมีซาน, เล่ม 2,หน้า 341.

[18] ตุฮะฟุ้ล อุกู้ล, หน้า 338.

[19] عِدَّةٌ مِنْ أَصْحَابِنَا عَنْ سَهْلِ بْنِ زِیَادٍ وَ مُحَمَّدُ بْنُ یَحْیَى عَنْ أَحْمَدَ بْنِ مُحَمَّدٍ جَمِیعاً عَنِ ابْنِ مَحْبُوبٍ عَنْ عَلِیِّ بْنِ رِئَابٍ عَنْ حُمْرَانَ بْنِ أَعْیَنَ عَنْ أَبِی جَعْفَرٍ ع قَالَ سَمِعْتُهُ یَقُولُ الْإِیمَانُ مَا اسْتَقَرَّ فِی الْقَلْبِ وَ أَفْضَى بِهِ إِلَى اللَّهِ عَزَّ وَ جَلَّ وَ صَدَّقَهُ الْعَمَلُ بِالطَّاعَةِ لِلَّهِ وَ التَّسْلِیمِ لِأَمْرِهِ وَ الْإِسْلَامُ مَا ظَهَرَ مِنْ قَوْلٍ أَوْ فِعْلٍ وَ هُوَ الَّذِی عَلَیْهِ جَمَاعَةُ النَّاسِ مِنَ الْفِرَقِ کُلِّهَا وَ بِهِ حُقِنَتِ الدِّمَاءُ وَ عَلَیْهِ جَرَتِ الْمَوَارِیثُ وَ جَازَ النِّکَاحُ وَ اجْتَمَعُوا عَلَى الصَّلَاةِ وَ الزَّکَاةِ وَ الصَّوْمِ وَ الْحَجِّ فَخَرَجُوا بِذَلِکَ مِنَ الْکُفْرِ وَ أُضِیفُوا إِلَى الْإِیمَانِ وَ الْإِسْلَامُ لَا یَشْرَکُ الْإِیمَانَ وَ الْإِیمَانُ یَشْرَکُ الْإِسْلَامَ وَ هُمَا فِی الْقَوْلِ وَ الْفِعْلِ یَجْتَمِعَانِ کَمَا صَارَتِ الْکَعْبَةُ فِی الْمَسْجِدِ وَ الْمَسْجِدُ لَیْسَ فِی الْکَعْبَةِ وَ کَذَلِکَ الْإِیمَانُ یَشْرَکُ الْإِسْلَامَ وَ الْإِسْلَامُ لَا یَشْرَکُ الْإِیمَانَ وَ قَدْ قَالَ اللَّهُ عَزَّ وَ جَلَّ قالَتِ الْأَعْرابُ آمَنَّا قُلْ لَمْ تُؤْمِنُوا وَ لکِنْ قُولُوا أَسْلَمْنا وَ لَمَّا یَدْخُلِ الْإِیمانُ فِی قُلُوبِکُمْ فَقَوْلُ اللَّهِ عَزَّ وَ جَلَّ أَصْدَقُ الْقَوْلِ قُلْتُ فَهَلْ لِلْمُؤْمِنِ فَضْلٌ عَلَى الْمُسْلِمِ فِی شَیْ‏ءٍ مِنَ الْفَضَائِلِ وَ الْأَحْکَامِ وَ الْحُدُودِ وَ غَیْرِ ذَلِکَ فَقَالَ لَا هُمَا یَجْرِیَانِ فِی ذَلِکَ مَجْرَى وَاحِدٍ وَ لَکِنْ لِلْمُؤْمِنِ فَضْلٌ عَلَى الْمُسْلِمอัลกาฟี, เล่ม 2,หน้า 26.

[20] อัลลุมอะฮ์ อัดดิมัชกียะฮ์, หน้า 16.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • อิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ท่านใดที่อ่านดุอาอฺฟะรัจญฺ?
    9016 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/05/20
    คำว่า “ฟะรัจญฺ” (อ่านโดยให้ฟาเป็นฟัตตะฮฺ) ตามรากศัพท์หมายถึง »การหลุดพ้นจากความทุกข์โศกและความหม่นหมอง«[1] ตำราฮะดีซจำนวนมากที่กล่าวถึงดุอาอฺ และการกระทำสำหรับการ ฟะรัจญฺ และการขยายภารกิจให้กว้างออกไป ตามความหมายในเชิงภาษาตามกล่าวมา ในที่นี้ จะขอกล่าวสักสามตัวอย่างจากดุอาอฺนามว่า ดุอาอฺฟะรัจญฺ หรือนมาซซึ่งมีนามว่า นมาซฟะรัจญฺ เพื่อเป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้ : หนึ่ง. ดุอาอฺกล่าวโดย ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ชื่อว่าดุอาอฺ ฟะรัจญฺ [2]«اللَّهُمَّ إِنِّي أَسْأَلُكَ يَا اللَّهُ ...
  • มุสลิมะฮ์ท่านใดที่พูดคุยด้วยโองการกุรอานนานหลายปี?
    7062 تاريخ بزرگان 2554/06/11
    มุสลิมะฮ์ท่านนี้ก็คือฟิฎเฎาะฮ์ทาสีของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ซึ่งตำราชั้นนำต่างระบุว่านางพูดคุยด้วยโองการกุรอานนานหลายปี. ...
  • ขณะวุฎูอฺ แต่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จำเป็น, โดยมีบุคคลอื่นราดน้ำลงบนมือและแขนให้เรา ถือว่ามีปัญหาทางชัรอียฺหรือไม่?
    6222 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    วุฎูอฺ มีเงื่อนไขเฉพาะตัว ดังนั้น การไม่ใส่ใจต่อเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง เป็นสาเหตุให้วุฎูอฺบาฏิล หนึ่งในเงื่อนไขของวุฎูอฺคือ การล้างหน้า มือทั้งสองข้าง การเช็ดศีรษะ และหลังเท้าทั้งสองข้าง ผู้วุฎูอฺ ต้องทำด้วยตัวเอง ถ้าหากมีบุคคลอื่น วุฎูอฺ ให้แก่เขา, หรือช่วยเขาราดน้ำที่ใบหน้า มือทั้งสองข้างแก่เขา หรือช่วยเช็ดศีรษะและหลังเท้าทั้งสองแก่เขา วุฎูอฺ บาฏิล[1] มีคำกล่าวว่า บรรดานักปราชญ์แสดงความเห็นเกี่ยวกับเงื่อนไขนี้ ต่างกัน : 1.บางท่านแสดงทัศนะว่า : บุคคลต้อง วุฏูอฺ ด้วยตัวเอง ถ้าหากมีบุคคลอื่นช่วยเขาวุฎูอฺ ในลักษณะที่ว่าถ้าคนอื่นเห็นจะไม่พูดว่า บุคคลดังกล่าวกำลังวุฎูอฺ ถือว่าวุฏูอฺ บาฏิล
  • เพราะเหตุใดจึงต้องคลุมฮิญาบ และทำไมอิสลามจำกัดสิทธิสตรี?
    14991 ปรัชญาของศาสนา 2554/06/21
    สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการที่มีต้นกำเนิดเดียวกันและการที่ควรได้รับความเสมอภาคทางสังคมอาทิเช่นการศึกษา, การแสดงความเห็น...ฯลฯอย่างไรก็ดีในแง่สรีระและอารมณ์กลับมีข้อแตกต่างหลายประการข้อแตกต่างเหล่านี้เองที่ส่งผลให้เกิดบทบัญญัติพิเศษอย่างเช่นการสวมฮิญาบในสังคมทั้งนี้ก็เนื่องจากสุภาพสตรีมีความโดดเด่นในแง่ความวิจิตรสวยงามแต่สุภาพบุรุษมีความโดดเด่นในแง่ผู้แสวงหาด้วยเหตุนี้จึงมีการเน้นย้ำให้สุภาพสตรีสงวนตนในที่สาธารณะมากกว่าสุภาพบุรุษทั้งนี้และทั้งนั้นหาได้หมายความว่าจะมีข้อจำกัดด้านการแต่งกายเพียงสุภาพสตรีโดยที่สุภาพบุรุษไม่ต้องระมัดระวังใดๆไม่. ...
  • เนื่องจากชาวสวรรค์ล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาว เหตุใดท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(อ.)จึงได้เป็นประมุขทั้งที่ยังมีบรรดานบีและบรรดาอิมามท่านอื่นๆอยู่?
    8715 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/01
    ท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(อ.) ผู้เป็นหลานรักของท่านนบี(ซ.ล.)นั้นมีสถานะภาพสูงกว่าชาวสวรรค์ทั่วไปอย่างไรก็ดีเนื่องจากชาวสวรรค์ทุกท่านล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาวบารมีดังกล่าวจึงเจาะจงชาวสวรรค์ที่เป็นชะฮีดหรือเสียชีวิตในวัยหนุ่มสาวเป็นพิเศษซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่ขัดกับบารมีของบรรดานบีและบรรดาเอาลิยาอ์ของอัลลอฮ์ท่านอื่นๆอย่างแน่นอนอนึ่งเมื่อพิจารณาเบาะแสต่างๆจะพบว่าฮะดีษดังกล่าวสื่อถึงความเป็นประมุขที่มีต่อชาวสวรรค์ทั่วไปมิได้เป็นประมุขของอิมามท่านอื่นๆหรือบรรดานบี ...
  • การส่งยิ้มเมื่อเวลาพูดกับนามะฮฺรัม มีกฎเป็นอย่างไร?
    5874 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    การส่งยิ้มและล้อเล่นกับนามะฮฺรัมถ้าหากมีเจตนาเพื่อเพลิดเพลินไปสู่การมีเพศสัมพันธ์หรือเกรงว่าจะเกิดข้อครหานินทาหรือเกรงว่าจะนำไปสู่ความผิดแล้วละก็ถือว่าไม่อนุญาต
  • การทำหมันแมวเพื่อป้องกันมิให้จรจัด แต่ก็มีผลกระทบไม่ดีด้านความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ฮุกุ่มเป็นอย่างไรบ้าง?
    8377 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    สำนักฯพณฯท่านผู้นำอายะตุลลอฮฺอัลอุซมาคอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองท่าน):
  • การที่ฝ่ายชีอะฮฺกล่าวว่า เซาะฮาบะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เป็นมุรตัด หรือพวกเขาได้กลับสภาพเดิมหลังจากศาสดาได้จากไปหมายความว่าอะไร? คำกล่าวอ้างเช่นนี้ยอมรับได้หรือไม่?
    9327 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/09/08
    เหตุการณ์การบิดเบือน, โดยหลักการถือว่าเป็น บิดอะฮฺหรือเอรติดอด ซึ่งในหมู่สหายของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) หลังจากที่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้จากไป หนึ่ง, จากแหล่งอ้างอิงแน่นอนของอิสลาม ซึ่งจัดอยู่ในลำดับต้นๆ ของอิสลามนั้นเป็นเหตุผลที่ยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริงอันไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งมิได้มีกล่าวไว้แค่ตำราของฝ่ายชีอะฮฺเท่านั้น รายงานประเภท มุตะวาติร จำนวนมากมายที่กล่าวว่า พวกเขาได้ละทิ้งท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มีกล่าวไว้มากมายในหนังสือ ซิฮะฮฺ ทั้ง 6 เล่มของฝ่ายซุนนียฺ และตำราที่เชื่อถือได้เล่มอื่นของพวกเขา โดยมีการกล่าวอ้างสายรายงานที่แตกต่างกัน อีกนัยหนึ่ง มีคำกล่าวยืนยันที่สมควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่งที่ว่า หลังจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้จากไป มีเหล่าสหายจำนวนไม่น้อยได้ละเลยต่อแบบอย่าง และซุนนะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) โดยหันไปสู่ศาสนาดั้งเดิมของต้นเอง และเนื่องด้วยการบิดเบือนดังกล่าวของพวกเขานั้นเอง ได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้พวกเขาถูกกีดกันมิให้ดื่มน้ำจากสระน้ำเกาษัร และอีกถูกขับไล่ออกจากสระน้ำดังกล่าวอีกด้วย บรรดามะลาอิกะฮฺแห่งการลงโทษจะลากพวกเขาไปยังขุมนรกของการลงโทษ สอง, เอรติดาด ได้ถูกกล่าวถึงในรายงานลักษณะอย่างนี้ ...
  • เข้ากันได้อย่างไร ระหว่างความดีและชั่ว กับความเป็นเอกะและความเมตตาของพระเจ้า?
    7073 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    1. โลกใบนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาในลักษณะที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ไม่อาจอยู่เป็นเอกเทศหรืออยู่ตามลำพังได้, องค์ประกอบและสัดส่วนต่างๆ บนโลกนี้ ถ้าหากพิจารณาให้รอบคอบจะพบว่าทุกสรรพสิ่ง เปรียบเสมือนโซ่ที่ร้อยเรียงติดเป็นเส้นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดเหล่านั้นรวมเรียกว่า ระบบการสร้างสรรค์อันสวยงาม, ด้วยเหตุนี้ ไม่สามารถกล่าวได้ว่าในโลกนี้มีพระเจ้า 2 องค์ เช่น พูดว่าน้ำและน้ำฝนมีพระเจ้าองค์หนึ่ง น้ำท่วมและแผ่นดินไหวมีพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง, แน่นอน ถ้าหากน้ำท่วมและแผ่นดินไหวมาจากระบบหนึ่ง และน้ำฝน แสงแดด การโคจร และ ...ได้ตามอีกระบบหนึ่ง เท่ากับว่าโลกใบนี้มี 2 ระบบ เวลานั้นเราจึงสามารถกล่าวได้เช่นนี้ว่า โลกมีพระเจ้า 2 องค์ ด้วยเหตุนี้ เนื่องจากความจำกัดของโลกมีเพียงแค่ระบบเดียวที่เข้ากันและมีความสวยงาม ซึ่งทั้งหมดสามารถเจริญเติบโตไปสู่ความสมบูรณ์ของตนได้อย่างเสรี สรุปแล้วโลกใบนี้ต้องมีพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงเมตตาปรานียิ่ง 2.ความเมตตาปรานีของพระเจ้า วางอยู่บนพื้นฐานแห่งวิทยปัญญาของพระองค์ ซึ่งสิ่งนี้ได้กำหนดว่ามนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายต่างได้รับการชี้นำทางไปสู่การพัฒนา และความสมบูรณ์แต่ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นไปได้ทุกหนทางในการบริการ หรือทุกหนทางที่จะก้าวเดินไป ทว่าการไปถึงยังความสมบูรณ์นั้นได้เป็นตัวกำหนดว่า มนุษย์ต้องผ่านหนทางที่ยากลำบากไปให้ได้ เขาต้องเผชิญกับความยากลำบาก และการต่อสู้ในชีวิตเพื่อก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ อีกนัยหนึ่งศักยภาพต่างๆ ...
  • ผมได้หมั้นหมายกับคู่หมั้นมานานเกือบ 10 ปี แล้วเราสามารถอ่านอักด์ชัรอียฺก่อนแต่งงานตามกฎหมายได้หรือไม่?
    6273 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/07
    คำตอบจากบรรดามัรญิอฺตักลีดเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ตามที่มีผู้ถามมา[1] ฯพณฯท่านอายะตุลลอฮฺ .. : 1. ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ คอเมเนอี : ด้วยการใส่ใจและตรวจสอบเงื่อนไขทางชัรอียฺแล้ว, โดยตัวของมันไม่มีปัญหาแต่อย่างใด 2.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ ซิตตานียฺ : การอ่านอักด์นิกาห์กับหญิงสาวบริสุทธิ์ต้องขออนุญาตบิดาของเธอก่อน 3.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ ซอฟฟี ฆุลภัยฆอนียฺ : การแต่งงานของชายผู้ศรัทธากับหญิงผู้ศรัทธา มีเงื่อนไขหลักหลายประการ (เช่น การได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองของฝ่ายหญิงเป็นต้น) โดยตัวของมันแล้วไม่มีปัญหา แต่ถ้มีปัญหาอื่นจงเขียนคำถามมาให้ชัดเจน เพื่อจะได้ตอบไปตามความเหมาะสม 4.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ มะการิม ชีรอซียฺ : ตามตัวบทกฎหมายของรัฐอิสลาม, การแต่งงานลักษณะนี้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60080 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57470 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42162 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39260 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38906 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33967 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27980 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27902 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27728 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25741 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...