การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7733
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/03/08
 
รหัสในเว็บไซต์ fa2230 รหัสสำเนา 12551
หมวดหมู่ เทววิทยาใหม่
คำถามอย่างย่อ
คำจำกัดความของท่านเกี่ยวกับวิทยาการ สติปัญญา และศาสนาเป็นอย่างไร ระหว่างทั้งสามมีความแตกต่างกันอย่างไร และประเด็นนี้มีความถูกต้องและเป็นไปได้อย่างไร ถูกต้องหรือไม่ที่ว่าแหล่งที่มาของความรู้ทั้งอยู่ในอัลกุรอาน ประเด็นนี้มีความถูกต้องมากน้อยเพียงใด
คำถาม
คำจำกัดความของท่านเกี่ยวกับวิทยาการ สติปัญญา และศาสนาเป็นอย่างไร ระหว่างทั้งสามมีความแตกต่างกันอย่างไร และประเด็นนี้มีความถูกต้องและเป็นไปได้อย่างไร ถูกต้องหรือไม่ที่ว่าแหล่งที่มาของความรู้ทั้งอยู่ในอัลกุรอาน ประเด็นนี้มีความถูกต้องมากน้อยเพียงใด
คำตอบโดยสังเขป

คำว่าความรู้นั้นมี 3 ความหมายกับ 2 นิยามกล่าวคือ :

บางครั้งคำว่า อิลม์ หมายถึงความรู้ บางครั้งหมายถึงวิทยาการ และบางครั้งก็หมายถึงสิ่งที่ได้ถูกรู้แล้ว ซึ่งทั้งสามความหมายนั้นความหมายแรกเป็นความหมายตามรากของคำ ความหมายที่สองเป็นอาการนาม ส่วนความหมายที่สามหมายถึงการอธิบายถึงวัตถุ

คำว่าความรู้ (Knowledge) นั้นมี 2 นิยามด้วยกัน กล่าวคือ บางครั้งหมายถึง ความรู้และความเข้าใจอันสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะตรงตามความเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม และบางครั้งจุดประสงค์หมายถึง ความเข้าใจที่ตรงกับความเป็นจริง

ในบทวิพากษ์เกี่ยวกับ ตะอารุฎ (ความขัดแย้ง) จุดประสงค์ของความรู้คือ การได้รับวิทยาการตามธรรมชาติ ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์ในการวิเคราะห์เหตุการณ์และวัตถุทางกายภาพ (Science)

ด้วยเหตุนี้ ตามความหมายล่าสุดนี้จะเห็นว่าในมุมมองของ คริสต์ ระหว่างคำสอนของพระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ กับการได้รับความรู้ตามธรรมชาตินั้น มีความขัดแย้งกันอันสืบเนื่องมาจาก การสังคายนาและการบิดเบือนพระคัมภีร์นั่นเอง แต่ในมุมมองของมุสลิมนั้น จะพบว่าการค้นหาความรู้สมัยใหม่ไม่ขัดแย้งกับอัลกุรอานเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าอัลกุรอานได้แจ้งข่าวถึงประเด็นใหม่ๆ เอาไว้ว่า ความรู้สมัยใหม่นั้นสามารถพิสูจน์ได้โดยประสบการณ์ ซึ่งประเด็นใหม่ๆ เหล่านั้นถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของความมหัศจรรย์เชิงความรู้ของอัลกุรอาน แต่น่าเสียดายว่าปัญหานี้เองกลายเป็นสาเหตุทำให้นักอรรถาธิบายอัลกุรอานบางกลุ่ม ไม่ใส่ใจต่อกฎเกณฑ์การตีความอัลกุรอาน (ตัฟซีร) และขาดการแยกเด็ดขาดระหว่างทฤษฎีทางความรู้แน่นอน กับและสมมติฐานทางความรู้ พวกเขาพยายามประยุกต์เอาโองการอัลกุราอนให้เข้ากับสมมติฐานทางความรู้ ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวง ตามความเป็นจริงพวกเราต่างเชื่อว่า อัลกุรอาน คือคัมภีร์แห่งการชี้นำ และอธิบายทุกสิ่งที่เป็นความการของมนุษย์ ถ้าบางครั้งอัลกุรอานกล่าวถึงปัญหาเชิงวิชาการ ก็เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลุ่มชน และเป็นส่วนหนึ่งในความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน

แต่ก็ไม่มีความจำเป็นอันใดที่เราจะต้องมาพิสูจน์ หรือกล่าวอ้างความเหนือกว่าและความเป็นสัจพจน์ของอัลกุรอาน ว่าวิทยาการทั้งหมดนั้นปรากฏอยู่ในอัลกุรอาน ถึงแม้ว่าอัลกุรอานจะโอบอุ้มเอาความรู้ที่ยังไม่ถูกรู้จักอีกจำนวนมากมายเอาไว้ก็ตาม ซึ่งในยุคสมัยนี้ได้ถูกพิสูจน์แล้วสำหรับปวงปราชญ์ที่ถวิลหาความจริงก็ตาม

ส่วนสติปัญญานั้นมีการนำไปใช้ประโยชน์ในลักษณะที่แตกต่างกัน และจุดประสงค์ของสติปัญญาในความหมายของเรา หมายถึงพลังหรือศักยภาพที่สามารถเข้าใจแนวคิดและรับรู้สิ่งเหล่านั้นได้ ด้วยเหตุนี้ นับตั้งแต่เริ่มต้นในมุมมองของศาสนาคริสต์: มีกลุ่มชนบางกลุ่มที่เชื่อว่า การสอนสั่งของศาสนาคริสต์นั้นไม่เข้ากันกับสติปัญญา และไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุผลแห่งปัญญาได้ ดังนั้น พวกเขาจึงได้แยกและประเมินความเชื่อและเหตุผลทางสติปัญญาไว้ต่างกัน ในสองลักษณะ

แต่ในมุมมองของอิสลาม, สติปัญญานั้นได้รับการยกไว้ในตำแหน่งที่มีความพิเศษ หลายต่อหลายครั้ง และอัลกุรอานหลายโองการได้กล่าวเชิญชวนและสนับสนุนประชาชนให้ใช้สติปัญญา และการใคร่ครวญ ส่วนในประเด็นเกี่ยวกับความเชื่อศรัทธา ถ้าไม่วางอยู่บนพื้นฐานของสติปัญญาไม่สามารถยอมรับได้ ส่วนในแง่ของบทบัญญัติและรายละเอียดปลีกย่อยของศาสนา ถือว่าสติปัญญาคือแหล่งอ้างอิงสำคัญในการพิสูจน์บทบัญญัติ ซึ่งบางครั้งได้มีคำกล่าวว่า ในบางกรณีถ้าสติปัญญาคือพื้นฐานสำคัญในกาพิสูจน์ความจริงแน่นอน แต่เผอิญว่าขัดแย้งกับภายนอกของรายงาน อนุญาตให้ตีความรายงานเข้าข้างสติปัญญา ซึ่งจุดประสงค์ก็คือ ให้ตีความรายงานนั้นโดยใช้เหตุผลของสติปัญญานั่นเอง

ดีนหรือศาสนา หมายถึง : ประมวลความเชื่อ จริยธรรม และบทบัญญัติ ซึ่งได้ถูกวางไว้เพื่ออบรมและพัฒนามนุษย์ และเป็นกฎที่ใช้ควบคุมภารกิจทางสังคม ซึ่งมีการกำหนดไว้ในระดับที่แตกต่างกัน

ศาสนา ในฐานะที่เป็นประมวลความรู้และเป็นบทบัญญัติ ซึ่งถูกบันทึกไว้ในความรู้แห่งพระเจ้าและแผ่นบันทึก หรือที่เรียกว่าเลาฮุลมะฮฺฟูซ และสิ่งที่ปรากฏอยู่ในคลังแห่งความรู้ของพระเจ้านั้น พระองค์ได้ประทานลงมาบางส่วนแก่บรรดาศาสดาของพระองค์ เพื่อสอนสั่งและชี้นำมวลมนุษย์ชาติไปตามความเหมาะสมตามเวลา สถานที่ และกาลเทศะ และเมื่อมนุษย์ได้ย้อนกลับไปยังสติปัญญาและเหตุผลอ้างอิงแล้ว ทุกอย่างก็จะชัดเจนขึ้นมา ซึ่งในที่สุดแล้วบางส่วนจากสิ่งเหล่านั้นก็จะกลายเป็นหลักการประมวลกฎหมาย สำหรับบุคคลทั่วไปและเป็นเป็นบัญญัติทางศาสนาสำหรับประชาชน

ดังนั้น สามารถสรุปได้ว่า ดีน หรือศาสนานั้นแบ่งออกเป็นขั้นตอนได้ดังต่อไปนี้ :

1 ดีนหรือศาสนาคือ ตัวตนของพระบัญญัติ

2 ดีนหรือศาสนาคือ ศาสดาผู้ถูกประทาน

3 ดีนหรือศาสนาคือ สิ่งที่ถูกเปิดเผย

4 ดีนหรือศาสนาคือ องค์กรหรือสถาบัน

คำตอบเชิงรายละเอียด

สำหรับคำว่า ความรู้ นั้นถูกกล่าวไว้ใน 3 ความหมาย : กล่าวคือบางครั้งคำว่า อิลม์ ให้ความหมายเป็น มัซดัรรีย์ (รากของคำ) หมายถึงการรู้ หรือการรู้จัก และบางครั้งก็ให้ความหมายเป็น อิสม์มัซดาร (อาการนาม) หมายถึง หมายถึง ความรู้ บางครั้งหมายให้ความหมาย เป็นกรรมกิริยา หรือคำคุณศัพท์ที่อธิบายกรรมกริยาอีกที่หนึ่ง หมายถึง การรู้ในสิ่งทีเป็นความประสงค์ หรือเรื่องทีต้องการอยากรู้ ซึ่งเรื่องนั้นเกิดในความเข้าใจของเราพอดี

แต่บางครั้งก็ถูกนำไปใช้ในความหมายผิดๆ เช่น   อิลม์ นั้นหมายถึงความรู้เพียงอย่างเดียวเป็นต้น การตีความเช่นนี้บางครั้งก่อให้เกิดความสับสนและทำให้เข้าใจผิด เช่น ความรู้สมบูรณ์ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นความสมบูรณ์ในตัวตนของมนุษย์ เกี่ยวกับการรู้จัก แต่ได้เข้าใจผิดไปว่าเป็นเป็นการพัฒนาด้านจิตภาพ หรือเป็นการเติบโตด้านความรู้และการรู้จัก ทั้งที่สิ่งนี้เป็นการผสมกันระหว่างความรู้กับสิ่งที่รู้ แน่นอน สิ่งที่มีความสมบูรณ์คือความรู้ของมนุษย์ มิใช่สิ่งที่ถูกรู้จักหรือความรู้อย่างอื่น

คำว่าความรู้ (Knowledge) นั้นมี 2 นิยามด้วยกัน

. ความรู้และความเข้าใจอันสมบูรณ์แบบในสิ่งที่เป็นจริงตามกล่าวคือไม่ว่าจะตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม หมายถึงทุกสิ่งในนามของรูปที่ปรากฏในความคิดในแง่ของการรู้จักบุคคล (Popper โลกที่สอง) หรือเป็นข้อเสนอเนื้อหาและความรู้ที่นำเสนอในโลกของความรู้ (Popper Third World)

. การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงก็คือว่า ในการอภิปรายความขัดแย้งทางศาสนากับความรู้ วัตถุประสงค์ความรู้คือศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Sciences) ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานประสบการณ์และการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ของเหตุการณ์อุปนัยและข้อเสนอวัตถุทางกายภาพ ดังนั้น สองนิยามนี้นอกเหนือไปจากสองนิยามที่ได้กล่าวถึงความรู้ (Knowledge)

คำว่า อักล์ (ภูมิปัญญา) ถูกนำใช้งานในรูปแบบต่างๆ ซึ่งวัตถุประสงค์ของเราเกี่ยวกับอักล์หมายถึง, พลังที่มีความสามารถรับรู้และเข้าใจโดยทั่วไปได้[1] และถ้าการรับรู้นี้ในบทนำของมันได้ใช้รูปแบบที่ถูกต้องในการพิสูจน์แล้วละก็ ข้อสรุปที่ได้รับก็จะถูกต้องไปด้วย.

แต่ต้องสังเกตด้วยว่าขอบข่ายของความความเข้าใจของสติปัญญานั้นจำกัดอยู่ในความรู้ทั่วไป ถ้านอกเหนือไปจากนี้ต้องอาศัยเครื่องมือเพิ่มเติมเป็นตัวช่วยเหลือ เช่น ความรู้สึกที่จะได้รับประโยชน์ อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์การรับรู้ทางประสาทสัมผัสและข้อสรุปของของพวกเขา เป็นหน้าที่ของสติปัญญา ด้วยเหตุนี้ บางครั้งเป็นข้อผิดพลาดของประสาทสัมผัส การอนุมานของสติปัญญาก็ผิดพลาดตามไปด้วย[2]

แต่คำดีน (ศาสนา) : ศาสนาหมายถึงการเชื่อฟัง, ความอ่อนน้อมถ่อมตน, การปฏิบัติตาม, การภักดี, การสวามิภักดิ์, และการจำนนต่อการตัดสิน บางครั้งในอัลกุรอานวางอยู่บนกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการตัดสินใจของมนุษย์[3] และบางครั้งถูกใช้กับศาสนาผิดๆ เช่น ระเบียบเกี่ยวกับการรวบรวมของอำนาจอธิปไตยของ Coptic ที่มีเหนือวงศ์วานของอิสราเอล[4] หรือบางครั้งศาสนาถูกใช้กับการปล้นสะดมศาสนาและพวกเคารพรูปปั้นบูชาแห่งฮิญาซ[5]

ดังนั้น ในทัศนะของอัลกุรอาน ศาสนา จึงหมายถึง : ประมวลความเชื่อ จริยธรรม และกฎหมายที่อุปถัมภ์กิจการของมนุษย์และควบคุมชุมชนและสังคม ในความเป็นจริงศาสนาคือการสร้างซึ่งบ่งบอกว่าพื้นฐานของมันครอบคลุมความรู้เกี่ยวกับมนุษย์ และจักรวาล และรอบรู้ถึงวิธีการดำเนินการขัดเกลาความเป็นมนุษย์ และแนวทางที่จะนำมนุษย์ไปสู่ความสุขนิรันดร ขณะที่ศาสนานั้นจะถูกต้องเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อได้รับการประทานและจัดระบบโดยพระเจ้าเท่านั้น[6] เพราะเพียงพระองค์เท่านั้นที่รู้จักโลกและมนุษย์อย่างเพียงพอ พระองค์จึงวางกฎเกณฑ์ของพระองค์บนพื้นฐานของความเข้าใจและการรู้จักที่ถูกต้องตามความสามารถ และศักยภาพที่ยอมรับได้ของมนุษย์[7]

จากนั้นวัตถุประสงค์ของเราจากความหมายของศาสนาคือ ศาสนาแห่งพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งสามารถพิจารณาในระดับและขั้นตอนที่แตกต่างกัน

1 ศาสนานัฟซุลอัมรี หมายถึง; สิ่งที่อยู่ในความรอบรู้ของพระเจ้า และความประสงค์ของพระผู้อภิบาลเพื่อการชี้นำมนุษย์ไปสู่ความถูกต้องและการมีอยู่ และเนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้น ศาสนาก็ต้องเป็นหน่วยเดียวกัน ซึ่งผลก็คือ โลกมีความครอบคลุมเป็นสากล จึงไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ตำแหน่ง และสถานที่

2 ศาสนาเป็นมุรซัล กล่าวคือสิ่งที่มาจากพระเจ้าเพื่อเป็นทางนำแก่มนุษย์ชาติ พระองค์ได้ประทานให้กับบรรดาเราะซูลหมดแล้ว ซึ่งแหล่งที่มาของมันมาจาก ศาสนานัฟซุลอัมรี ด้วยเหตุนี้เองศาสนาจึงต้องมีองค์ประกอบสากล และอีกด้านหนึ่งศาสนาต้องมีความเหมาะสมกับอนุชนรุ่นต่างๆ ที่ศาสนาได้ถูกส่งมาเพื่อพวกเขาด้วย และเนื่องจากสถานภาพ เวลา และสถานที่ของมวลมนุษย์ ศาสนาจึงต้องครอบคลุมทั้งองค์ประกอบสถานภาพ

3 ดีนมักชูฟ หมายถึงศาสนาที่เป็นนัฟซุลอัมร์ และดีนมุรซัล เมื่อย้อนกลับไปสู่สติปัญญาหรือเหตุผลทางการรายงานแล้ว เป็นที่ชัดเจนสำหรับบุคคลทั่วไป

4 ดีนเนะฮอดีย์ (สถาบันศาสนา) นั่นคือส่วนหนึ่งของศาสนาอันชัดแจ้งสำหรับประชาชนทั่วไป ที่ได้ตั้งเป็นสถาบันศาสนา ในรูปของระเบียบเพื่อกลุ่มชนในสังคม

เมื่ออัลกุรอานกล่าวว่าศาสนา  อัลลอฮฺคืออัลอิสลาม"[8] ได้พิจารณาที่ ดีนนัฟซุลอัมร์ และเมื่อกล่าวว่า ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาสุดท้าย และ ... ฯลฯ วัตถุประสงค์หมายถึง ศาสนามุรซัลนั่นเอง และเมื่อกล่าวว่าศาสนาเป็นเรื่องเกี่ยวกับคน วัตถุประสงค์คือ ศาสนาอันชัดแจ้ง (มักชูฟ)[9]

บางคนกล่าวว่า ศาสนาหมายถึงคัมภีร์และแบบฉบับ (ซุนนะฮฺ) ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่า ความเข้าใจทางศาสนาเป็นความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับคัมภีร์และแบบฉบับ โดยเน้นย้ำว่าสิ่งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของบุคคล เป็นสิ่งที่พบบ่อยและเป็นสากล ( Popper โลกที่สาม) ดังนั้น จึงเป็นที่เชื่อถือ[10]

แต่ควรจะสังเกตว่าการใช้ประโยชน์เช่นนี้ ประกอบกับเนื้อหาที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้น เท่ากับเป็นจำกัดความของคำว่า ศาสนา ไว้ในพื้นที่ส่วนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ถ้าหากศาสนาเป็นเพียงคัมภีร์หรือแบบฉบับ (ซุนนะฮฺ) เท่านั้น และไม่เป็นจริงตามที่ปรากฏในวัตถุประสงค์แห่งความรู้ของพระเจ้า หรือในเลาฮุลมะฮฺฟูซ (แผ่นบันทึก  ฟากฟ้า) จำเป็นต้องกล่าวว่า : การตีความดังกล่าวมีความคลุมเครือสำหรับศาสนา ซึ่งเราจะต้องไม่ปล่อยให้บ่วงของเขาได้ดำเนินต่อไปอีก เนื่องจากคัมภีร์และซุนนะฮฺ ได้กล่าวถึงศาสนาที่เป็น นัฟซูลอัมร์ ซึ่งศาสนาดังกล่าวได้ถูกแนะนำด้วยคัมภีร์และซุนนะฮฺ และได้ถูกแนะนำด้วยสิ่งอื่นเช่นกัน ด้วยมุมมองที่แตกต่างกันตามหลักการของวิชา เทววิทยา อุซูล ริญาล และปรัชญาของศาสนา, สึงได้ตีความว่าศาสนา คือคัมภีร์และซุนนะฮฺ; ตัวอย่างเช่น ถ้าหากในหลักวิชาอุซูลถือว่า คำพูดที่เป็น ซิกเกาะฮฺ เชื่อถือได้และเป็นเหตุผล ขอบข่ายสำหรับความหมายของศาสนาตามที่กล่าวมา จะเกิดการการเปลี่ยนแปลงทันที[11]

ศาสนาในทัศนะของชาวตะวันตก :

ความหมายของศาสนาในทัศนะของตะวันตก, ประเทศหนึ่งของมุมมองอันเฉพาะ เช่น : จากจุดของมุมมองนักจิตวิทยากล่าวว่า ศาสนาคือความรู้สึก การปฏิบัติหน้าที่และเป็นประสบการณ์ของบุคคลเมื่อเขาต้องอยู่ตามลำพัง แล้วนำตัวเองไปเผชิญกับสิ่งที่ได้เรียกด้วยนามของพระเจ้า (William James)

จากมุมมองของสังคมวิทยา พวกเขาได้ตีความศาสนาว่า : เป็นความเชื่อหนึ่ง เป็นการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งมนุษย์ได้เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา (Talkvt Parsvn)

จามมุมมองของธรรมชาตินิยมศาสนาคือ คำสั่งใช้และคำสั่งปฏิเสธ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำหรับการกระทำที่อิสระและศักยภาพตลอดจนความสามารถของมนุษย์ (Ray nakh)

จากมุมมองของศาสนานิยม ศาสนาคือคำสารภาพต่อความจริงของสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ประจักษ์ ซึ่งอยู่เหนือความรู้และภูมิปัญญาของเรา (Herbert Spencer)[12]

ดูเหมือนว่าคำนิยามที่ครอบคลุมมากที่สุดของการตีความนี้คือ ศาสนาประกอบด้วยองค์ความเชื่อ ความรู้สึก และการกระทำ (ทั้งบุคคลและส่วนรวม)

ความเชื่อได้แสดงให้เห็นว่าได้ทำลายความจริงและเท็จให้หมดไป ความเชื่อของแต่ละศาสนา, จะอธิบายการกระทำเฉพาะที่เห็นว่าศาสนานั้นยอมรับ หรือกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ความรักขึ้นมา[13]

ดังนั้น หนึ่งในนิยามของความรู้คือ ความเข้าใจที่เป็นไปตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าการประยุกต์ใช้ในตะวันตก ซึ่งในขณะที่มีการวิพากษ์ถึงการเชื่อมต่อหรือความขัดแย้งระหว่างความรู้และศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาการธรรมชาติ (วิทยาศาสตร์) ขณะที่สติปัญญา (เหตุผล) คือการรับรู้ทั่วไป ศาสนาในเวลานั้นคือ การชี้นำต่างๆ จากพระเจ้าโดยผ่านบรรดาศาสดาผ่านวะฮฺยู (วิวรณ์) ของพระเจ้าและได้ตกมาถึงมือประชาชนในที่สุด

โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาถึงความแตกต่างทั้งหลายระหว่างทั้งสาม ซึ่งการวิพากษ์ของพวกเขาได้วิพากษ์ภายใต้ 2 ประเด็น กล่าวคือ :

1 เหตุผลและศาสนา (เหตุผลและความเชื่อ) :

ในวัฒนธรรมของคริสเตียน เนื่องจากมีการบิดเบือนในศาสนาของพระเยซู () จึงทำให้มีความรู้สึกว่า ระหว่างข้อมูลของสติปัญญากับคำสอนของพระคริสต์เข้ากันไม่ได้และมีความขัดแย้งกัน แล้วสิ่งที่ปรากฏตามมาคือ 2 คำถามอันเป็นพื้นฐานถูกกล่าวขานในหมู่นักวิชาการ กล่าวคือ สติปัญญาในขอบข่ายของศาสนามีที่อยู่หรือไม่? และถ้าเพื่อว่าภายนอกบุคคลหนึ่งโดยหลักการแล้วได้ใช้เหตุผลของสติปัญญาเพื่อทำความข้าใจตรงนี้ความเชื่อจะมีคำพูดใดได้อีก ? แต่คำถามที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดคือ สติปัญญาในขอบข่ายของความศรัทธาอยู่ในตำแหน่งใดหรือ;? กล่าวคือว่าบุคคลหนึ่งจำเป็นต้องมีเหตุผลแน่นอนที่น่าเชื่อถือสำหรับยืนยันถึงความเชื่อที่เป็นจริงหรือไม่ ?

สำหรับการแสวงหาตอบเพื่อคำถามนี้ เรามาทำการรู้จัก 3 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตก :

1) เหตุผลนิยมส่วนใหญ่ กล่าวคือทุกความเชื่อที่มีหลักฐานไม่เพียงพอต่อการยอมรับ จะได้รับคำสบประมาทและการวิจารณ์ ขณะที่ระบบของความเชื่อทางศาสนาจะสามารถยอมรับได้ ก็ต่อเมื่อได้มีการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริงอันเป็นที่น่าเชื่อถือในหมู่นักวิชาการ

Clifford, นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ และจอห์นล็อคมีความเชื่อเช่นนั้น ขณะที่ Aquinas ก็ได้กล่าวว่า ความจริงของคริสเตียน สามารถวิจัยในลักษณะที่ถูกต้องน่าเชื่อโดยสติปัญญาและด้วยเหตุผลที่ละเอียดอ่าน ในลักษณะที่น่าเชื่อถือในเชิงของเหตุผล ทว่าแนวทางของเหตุผลและและความเชื่อนั้นแยกจากกัน ซึ่งเราต้องตามความเชื่อไม่ใช่เหตุผล สถานะภาพของ Sweeney เบิร์น ยังอยู่ใกล้กับหลักการใช้เหตุผลมากที่สุด

2) ความเชื่อนิยม : มุมมองของกลุ่มนี้ถือว่าระบบต่างๆ ของความเชื่อในศาสนา ไม่สามารถประเมินผลได้ด้วยระบบเหตุผลหรือสติปัญญา พวกเขากล่าวอ้างว่า ระบบความเชื่อทางศาสนามีรากที่มาอันเป็นพื้นฐานมั่นคง ซึ่งไม่มีสิ่งใดเป็นพื้นฐานที่มั่นคงไปกว่านี้ได้อีก เพื่อจะได้สามารถพิสูจน์ความจริงนี้ได้ "Kyrk Guard (Kierkegaard) "เขามีความเชื่อเช่นนี้ และยังเชื่ออีกว่าทฤษฎีของปัญญาเป็นความเชื่อขัดแย้ง

แต่มุมมองนี้ ลืมไปว่าความเชื่อของผู้ศรัทธาที่บริสุทธิ์ใจคนหนึ่ง วางอยู่บนพื้นฐานที่ว่ามีผู้ชี้นำโดยหลักการ มีความครอบคลุมครบวงจรสำหรับวิธีการดำเนินชีวิตของตน อีกทั้งต้องนำเอาเป้าหมายและเหตุผลออกมาเพื่อเขาด้วย แต่หลักการนี้ไม่สามารถสรุปไดว่า ความเชื่อเหล่านี้เป็นพื้นฐานหมายถึง ความรู้อื่นและความเชื่อของบุคคลมีความรู้มากกว่าและชัดเจนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด 

3) หลักการของเหตุผลนิยม : ทัศนะได้อธิบายให้เห็นถึงระบบของความเชื่อทางศาสนา มีความเป็นไปได้ที่จะให้มีการตรวจสอบและประเมินผลโดยสติปัญญา แม้ว่าหลักฐานดังกล่าวจะไม่สามารถพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของระบบดังกล่าวได้ก็ตาม

วิธีการนี้เป็นประการแรก : แทนการพิสูจน์ให้ทุกคนได้รับรู้ ได้พิสูจน์เพื่อบุคคลถือว่าเพียงพอแล้ว (George Mavrvds กล่าวว่า ความเข้าใจในการพิสูจน์เราถือว่าจำเป็นต้องขึ้นอยู่กับบุคคล)

ประการที่สอง : ไม่อาจตัดสินได้อย่างจริงจังได้ว่า การวิพากษ์เกี่ยวกับความจริงและความถูกต้องของความเชื่อทางศาสนา ได้ถึงผลสรุปสุดท้ายแล้ว แน่นอน นิยามดังกล่าวยังมีระยะห่างอีกมากตามความหมายอันเป็นวัตถุประสงค์ของ Popper ที่จะนำมาประยุกต์เข้าด้วยกัน[14]

แต่ตามคำสอนของอิสลาม,

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • เนื่องจากการเสริมสวยใบหน้า ดังนั้น กรณีนี้สามารถทำตะยัมมุมแทนวุฎูอฺได้หรือไม่?
    9552 สิทธิและกฎหมาย 2556/01/24
    ทัศนะบรรดามัรญิอฺ ตักลีดเห็นพร้องต้องกันว่า สิ่งที่กล่าวมาในคำถามนั้นไม่อาจนำมาเป็นข้ออ้าง เพื่อละทิ้งวุฎูอฺหรือฆุซลฺ และทำตะยัมมุมแทนได้เด็ดขาด[1] กรณีลักษณะเช่นนี้ ผู้ที่มีความสำรวมตนส่วนใหญ่จะวางแผนไว้ก่อน เพื่อไม่ให้โปรแกรมเสริมสวยมามีผลกระทบกับการปฏิบัติสิ่งวาญิบของตน ซึ่งส่วนใหญ่จะทราบเป็นอย่างดีว่าเวลาที่ใช้ในการเสริมสวยแต่ละครั้งจะไม่เกิน 6 ชม. ดังนั้น ช่วงเวลาซุฮฺรฺ เจ้าสาวสามารถทำวุฏูอฺและนะมาซในร้านเสริมสวย หลังจากนั้นค่อยเริ่มแต่งหน้าเสริมสวย จนกว่าจะถึงอะซานมัฆริบให้รักษาวุฏูอฺเอาไว้ และเมื่ออะซานมัฆริบดังขึ้น เธอสามารถทำนะมาซมัฆริบและอิชาอฺได้ทันที ดังนั้น ถ้าหากมีการจัดระเบียบเวลาให้เรียบร้อยก่อน เธอก็สามารถทำได้ตามกล่าวมาอย่างลงตัว อย่างไรก็ตามเจ้าสาวต้องรู้ว่าเครื่องสำอางที่เธอแต่งหน้าไว้นั้น ต้องสามารถล้างน้ำออกได้อย่างง่ายดาย และต้องไม่เป็นอุปสรรคกีดกั้นน้ำสำหรับการทำวุฎูอฺเพื่อนะมาซซุบฮฺในวันใหม่ [1] มะการิมชีรอซียฺ,นาซิร,อะฮฺกามบานูวอน, ...
  • บุคลิกของอบูดัรดาอฺ เป็นเชนไร? อะฮฺลุลบัยตฺมีทัศนะอย่างไรกับเขา? รายงานที่เป็นมันกูลจากเขามีกฎเป็นอย่างไร?
    9912 تاريخ بزرگان 2555/04/07
    อุมัรบิน มาลิก เป็นลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากเผ่า คัซร็อจญฺ ซึ่งส่วนใหญ่จะเรียกด้วยชื่อเล่นว่า อบูดัรดาอฺ เขาเป็นหนึ่งในเซาะฮาบะฮฺ (สหาย) ของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และอยู่ในฐานะของผู้สืบเชื้อสายมาจากเผ่าคัซร็อจญฺ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในมะดีนะฮฺ แต่หลังจากที่ท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) ได้เดินทางมามะดีนะฮฺได้ไม่นานนัก เขาก็เข้าพบท่านเราะซูล และได้ยอมรับอิสลาม อบูดัรดาอฺ คือผู้ที่ยืนยันว่าท่านอะลี (อ.) มีความดีและประเสริฐยิ่งกว่ามุอาวิยะฮฺมาก,เขาได้เข้าไปหามุอาวิยะฮฺพร้อมกับอบูฮุร็อยเราะฮฺ และเขาได้เชิญชวนมุอาวิยะฮฺให้เชื่อฟังปฏิบัติท่านอิมามอะลี (อ.), ครั้นเมื่อมุอาวิยะฮฺได้นำเอาเรื่องการสังหารอุสมานมาเป็นข้ออ้าง โดยอ้างว่าให้ท่านอิมามอะลีช่วยส่งคนสังหารอุสมานมาให้เขา หลังจากนั้นเขาได้ส่งอบูดัรดาอฺ และอบูฮุร็อยเราะฮฺมาหาท่านอิมาม อะลี (อ.) เพื่อขอตัวคนสังหารอุสมาน เพื่อสงครามการนองเลือดจะได้สิ้นสุดลง แล้วทั้งสองก็กลับมาหาท่านอิมามอะลี แต่ท่านมาลิกอัชตัรได้พบกับพวกเขาก่อน และได้ประณามพวกเขาอย่างรุนแรง พวกเขาจึงตัดสินใจไม่ไปพบท่านอิมามอะลีแล้ว, วันที่สองเมื่อความต้องการของพวกเขาได้แจ้งให้ท่านอิมามอะลี ได้รับทราบ พวกเขาจึงได้พบกับผู้จำนวนนับหมื่นคนแล้วประกาศแก่ทั้งสองว่า พวกเขานั่นแหละเป็นคนสังหารอุสมาน, ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทั้งสองสิ้นหวังและกลับไปยังเมืองของตน และได้รับการประณามหยามเหยียดจาก อับดุรเราะฮฺมาน บิน ...
  • ถ้าหากชาวสวรรค์มีการแบ่งชั้นอยู่ ดังนั้นสำหรับชาวนรกแล้วเป็นเช่นนี้ด้วยหรือไม่?
    12155 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    สิ่งที่อัลกุรอานและรายงานฮะดีซ กล่าวไว้เกี่ยวกับชั้นต่างๆ ของนรก,ก็คือนรกนั้นมีชั้นเหมือนกับสวรรค์[1]ที่แบ่งออกเป็นชั้นต่างๆ ซึ่งชาวนรกทั้งหลายจะถูกพิพากษาไปตามความผิดที่ตนได้กระทำไว้หนักเบาต่างกันไป, ซึ่งเขาจะถูกนำไปพักอยู่ในชั้นนรกเหล่านั้นเพื่อลงโทษในความผิดที่ก่อขึ้น รายงานบทหนึ่งจากท่านอิมามบากิร (อ.) กล่าวเกี่ยวกับโองการที่ว่า «لَها سَبْعَةُ أَبْوابٍ لِكُلِّ بابٍ مِنْهُمْ جُزْءٌ مَقْسُوم»[2] สำหรับนรกมีเจ็ดประตู และทุกประตูมีสัดส่วนที่ถูกจัดไว้แล้ว (สำหรับผู้หลงทาง) ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า ได้มีรายงานมาถึงฉันว่า อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงแบ่งนรกออกเป็น 7 ชั้น 1.ชั้นที่หนึ่ง : เป็นชั้นที่สูงที่สุดเรียกว่า “ญะฮีม” ชาวนรกในชั้นนี้จะถูกให้ยืนอยู่บนโขดหินที่ร้อนระอุด้วยความยากลำบาก กระดูกและสมองของเขาจะเดือดพล่านเนื่องจากความร้อนนั้น
  • สำนักคิดทั้งสี่ของอะฮฺลุซซุนะฮฺ เกิดขึ้นได้อย่างไร และการอิจญฺติฮาดของพวกเขาได้ถูกปิดได้อย่างไร?
    7847 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    วิชาการในอิสลามและฟิกฮฺอิสลามหลังจากเหตุการณ์ในยุคแรกของอิสลามปัญหาตัวแทนและเคาะลิฟะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) แล้วได้แบ่งออกเป็น
  • ฮะดีษนี้น่าเชื่อถือหรือไม่? : "เราได้บันดาลให้อลี(อ.)ลูกเขยของเจ้า(นบี)ได้รับการบันทึกไว้ในซูเราะฮ์อินชิร้อห์"
    7467 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/11/09
    เราไม่พบฮะดีษใดๆที่มีเนื้อหาเช่นนี้อย่างไรก็ดีในตำราตัฟซี้รเชิงฮะดีษมีฮะดีษหลายบทที่อรรถาธิบายโองการفإذا فرغت فأنصب وإلی ربک فارغب ว่า "เมื่อเจ้า(นบี)ปฏิบัติภารกิจศาสนทูตลุล่วงแล้วก็จงแต่งตั้งอลี(อ.)เป็นผู้นำเหนือปวงชน" หรือฮะดีษที่อธิบายโองการแรกของซูเราะฮ์นี้ที่รายงานจากอิมามศอดิก(
  • กรุณาอธิบายเกี่ยวกับมัสญิดญัมกะรอนและสาเหตุของการก่อตั้งมัสญิดแห่งนี้
    7436 ประวัติสถานที่ 2554/08/08
    มัสญิดญัมกะรอนหนึ่งคือในสถานที่ศักดิสิทธิและเป็นสถานที่ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ตั้งอยู่ห่างจากเมืองกุมประมาณ๖กิโลเมตรมัสญิดแห่งนี้ได้ก่อสร้างเมื่อประมาณ๑๐๐๐ปีที่แล้วโดยคำสั่งของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ซึ่งผู้ริเริ่มก่อสร้างได้รับคำสั่งดังกล่าวในขณะตื่น (ไม่ใช่ในฝัน) ซึ่งความเมตตาและสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆของอิมามมะฮ์ดี (อ.) ได้ปรากฎณสถานที่แห่งนี้อีกทั้งเป็นสถานที่นัดหมายสำหรับผู้ที่รอคอยการมาของท่านและมีความรักต่อท่านมัรฮูมมิรซาฮูเซนนูรีได้กล่าวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการก่อตั้งมัสญิดญัมกะรอนโดยอ้างอิงจากเชคฟาฏิลฮะซันบินฮะซันกุมี (อยู่ยุคสมัยเดียวกับเชคศอดูก) ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์เมืองกุม”[1] จากหนังสือ “มูนิซุลฮะซีนฟีมะอ์ริฟะติลฮักวัลยะกีน”[2] ว่า:[3]เชคอะฟีฟศอและฮ์ฮะซันบินมุซลิฮ์ยัมกะรอนีได้กล่าวว่า: ในคือวันพุธที่๑๗เดือนรอมฏอนปี๓๙๓ฮ. ฉันได้นอนอยู่ในบ้านทันใดนั้นได้มีกลุ่มชนกลุ่มหนึ่งมาที่ประตูบ้านของฉันและได้ปลุกฉันและได้กล่าวกับฉันว่าจงลุกขึ้นและทำตามความต้องการของอิมามมะฮ์ดี (อ.) ซึ่งท่านได้เรียกหาท่านอยู่พวกเขาได้พาฉันมาสถานที่หนึ่งซึ่งในปัจจุบันสถานที่แห่งนั้นได้กลายมาเป็นมัสญิดญัมกะรอนแล้วท่านอิมามมะฮ์ดีได้เรียกชื่อของฉันและได้กล่าวว่า: “ไปบอกกับฮะซันบินมุสลิมว่า “สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่อันบริสุทธ์ที่อัลลอฮ์ทรงเลือกและให้สถานที่แห่งนี้มีความบริสุทธ์เจ้าได้ยึดครองสถานที่แห่งนี้...ดังนั้นท่านได้กล่าวว่า: จงบอกประชาชนว่าให้รักและหวงแหนสถานที่แห่งนี้”[4]อายาตุลลอฮ์อัลอุซมามัรอะชีนะญะฟีได้กล่าวยอมรับความศักดิ์สิทธิของมัสญิดญัมกะรอนว่า: ชีอะฮ์ทั่วไปให้ความสำคัญต่อมัสญิดอันศักดิ์สิทธ์แห่งนี้ตั้งแต่สมัยของการเร้นกายระยะแรกของท่านอิมามมะฮ์ดีจนถึงปัจจุบันซึ่งกินระยะเวลาถึงพันสองร้อยสองปีท่านเชคผู้สูงส่งมัรฮูมศอดูกได้กล่าวในหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “มูนิซุลฮะซีน” ซึ่งฉันยังไม่ได้อ่านเองทว่ามัรฮูมฮัจยีมิรซาฮุเซนนูรีซึ่งเป็นอาจารย์ของฉันได้เล่าจากหนังสือเล่มนั้นว่าอุลามาอ์และนักวิชาการชั้นนำของชีอะอ์ให้ความเคารพมัสญิดแห่งนี้กันถ้วนหน้าและสิ่งมหัศจรรย์มากมายได้ปรากฏในมัสญิดญัมกะรอนแห่งนี้
  • เหตุใดศาสนาจึงขัดต่อหลักสติปัญญา?
    6904 เทววิทยาใหม่ 2554/09/04
    สติปัญญาถือเป็นเครื่องพิสูจน์สัจธรรมจากภายในส่วนชะรีอัต(ศาสนา)ก็ถือเป็นเครื่องพิสูจน์สัจธรรมจากภายนอกทั้งสองมีหน้าที่นำพามนุษย์สู่ความผาสุกและความสมบูรณ์แบบซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เครื่องพิสูจน์สัจธรรมจากภายในและภายนอกจะขัดแย้งกันเองจากการที่สติปัญญานับเป็นปรากฏการณ์หนึ่งและการที่ทุกปรากฏการณ์มีข้อจำกัดศักยภาพของสติปัญญาก็มิอาจอยู่เหนือกฏเกณฑ์นี้ได้จึงมีศักยภาพประมวลผลในระดับของสรรพสิ่งถูกสร้างเท่านั้นโดยไม่อาจที่จะหยั่งรู้ถึงสถานภาพที่แท้จริงของพระเจ้าได้อย่างถี่ถ้วนเนื่องจากทรงปราศจากข้อจำกัด
  • ชีวิตและจิตวิญญาณต้องนอนหลับหรือตายด้วยหรือไม่ ?
    6882 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    ปัญหาเรื่องจิตวิญญาณและแก่นแท้ของมันเป็นปัญหาที่พิพาทถกเถียงกันมาตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันซึ่งจัดได้ว่าเป็นปัญหาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคำถามข้างต้นก็ได้ก็เป็นผลพวงและแหล่งที่มาจากคำถามนี้เองที่ว่าแก่นแท้ของมนุษย์ก็คือ กายภาพอันเป็นวัตถุตามลักษณะที่ปรากฏกระนั้นหรือหรือว่าเบื้องหลังของมันยังมีสิ่งอื่นที่ซ่อนเร้นอยู่อีกซึ่งตาเนื้อธรรมดาไม่อาจมองเห็นได้ซึ่งอยู่นอกเหนือคุณสมบัติของวัตถุและมีลักษณะศักดิ์สิทธิ์และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงสิ่งนั่นเป็นวัตถุหรือนามธรรมที่ไร้สถานะและชะตากรรมของสิ่งนั้นภายหลังจากการตายของร่างกายจะเป็นอย่างไร?คำตอบสำหรับคำถามข้างต้นนี้สามารถอธิบายในเชิงของทฤษฎีบท,ในลักษณะที่เป็นเชิงตรรกะเพื่อจะได้ไปถึงยังบทสรุป
  • ฮะดีษนบีและอะฮ์ลุลบัยต์ที่เกี่ยวกับความเศร้าหมองและการโอดครวญเทียบกับทัศนะของผู้รู้ชีอะฮ์ อย่างใดสำคัญกว่ากัน?
    7589 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/13
    เกี่ยวกับเรื่องนี้จำเป็นต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงต่อไปนี้:1. ไม่ไช่ว่าฮะดีษทุกบทจะเชื่อถือได้ทั้งหมด2. ต้องคำนึงเสมอว่าปัจจัยกาลเวลาและสถานที่มีอิทธิพลต่อฮุก่ม(กฎศาสนา)3. ในจำนวนฮุก่มทั้งหมดมีฮุก่มวาญิบและฮะรอมเท่านั้นที่มีความอ่อนไหว4. จะต้องพิจารณาแหล่งอ้างอิงให้ถี่ถ้วนตัวอย่างเช่นกรณีของการร้องไห้นั้นยังมีข้อถกเถียงกันได้เพราะแม้ว่าวะฮาบีจะฟัตวาห้ามร้องไห้แก่ผู้ตายแต่ในแง่สติปัญญาแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้นอกจากนี้ฮะดีษทั้งสายซุนหนี่และชีอะฮ์ก็ปรากฏเหตุการณ์ที่ท่านนบี(ซ.ล.)และบรรดาอิมาม(อ.)ร้องไห้ให้กับผู้ตายหรือบรรดาชะฮีดเช่นท่านฮัมซะฮ์หรือมารดาท่านนบี(ซ.ล.) ตลอดจนกรณีอื่นๆอีกมาก 5. อุละมาอ์และผู้รู้ระดับสูงสอนว่ามีบางพฤติกรรมที่ผู้ไว้อาลัยไม่ควรกระทำซึ่งบางกรณีอาจทำให้ต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮ์ด้วยฉะนั้นจะต้องแยกแยะระหว่างพฤติกรรมที่ผิดหลักศาสนาของผู้คนที่ไม่รู้ศาสนากับคำสอนที่แท้จริงของอิสลามและบรรดาอุละมาอ์ ...
  • เพราะเหตุใด อัลลอฮฺทรงรังเกลียดการหย่าร้างอย่างรุนแรง?
    11672 ปรัชญาของศาสนา 2555/04/07
    ถ้าหากพิจารณาสิ่งตรงข้ามกันระหว่างการหย่าร้าง กับการแต่งงาน,เพื่อค้นคว้าปรัชญาของความน่ารังเกลียดในการหย่าร้าง, อันดับแรกจำเป็นต้องกล่าวถึงความสำคัญของการแต่งงานก่อน[1] อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นมาเป็นคู่ มนุษย์ในฐานะที่เป็นเครื่องหมายและเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้า อันเป็นเหตุของความสงบและความสันติ[2] รายงานฮะดีวจากบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการแต่งงานไว้ว่า เป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่ง, ซึ่งท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการแต่งงานว่า : ไม่มีรากฐานอันใดได้ถูกวางไว้ในอิสลาม ซึ่งเป็นทีรักและมีเกียรติยิ่ง ณ พระองค์อัลลอฮฺ เหนือไปจากการแต่งงาน”[3] หนึ่งในประโยชน์อันสำคัญยิ่งของการแต่งงานคือ การขยายและดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ชาติ, ด้วยเหตุนี้เอง การหย่าร้างคือการทำลายการแต่งงาน ทำให้ครอบครัวต้องแตกแยก เด็กๆ ที่เกิดมาสมควรได้รับการดูแลจากมืออันอบอุ่นของบิดามารดา ร่มเงาของทั้งสองสมควรที่จะถอดเบียดบังพวกเขาให้ได้รับความปลอดภัย และมีความรู้สึกว่าได้รับความอบอุ่นเสมอ การปราศจากผู้ปกป้องดูแลคือ การขาดที่พำนักพักพิง ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60350 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57903 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42450 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39721 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39109 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34203 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28246 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28179 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28118 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26061 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...