การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10372
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/12/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa2235 รหัสสำเนา 11563
คำถามอย่างย่อ
ความตายคืออะไร และเราสามารถยึดเวลาความตายออกไปได้ไหม ?
คำถาม
ความตายคืออะไร และเราสามารถยึดเวลาความตายออกไปได้ไหม ?
คำตอบโดยสังเขป

ความตายในทัศนะของนักปรัชญาอิสลามหมายถึง จิตวิญญาณได้หยุดการบริหารและแยกออกจากร่างกาย แน่นอน ทัศนะดังกล่าวนี้ได้สะท้อนมาจากอัลกุรอานและรายงาน ซึ่งตัวตนของความตายไม่ใช่การสูญสิ้น

ส่วนในหลักการของอิสลามมีการตีความเรื่องความตายแตกต่างกันออกไป ซึ่งทั้งหมดมีจุดคล้ายเหมือนกันอยู่ประการหนึ่ง กล่าวคือความตายไม่ใช่ความสูญสิ้น หรือดับสูญแต่อย่างใด ทว่าหมายถึงการเปลี่ยนหรือการโยกย้ายจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่ง เนื่องจากมนุษย์นั้นประกอบไปด้วยร่างกายและจิตวิญญาณ อีกอย่างหนึ่งความตายเท่ากับเป็นหยุดการทำงานของร่างกายภายนอก ส่วนจิตวิญญาณได้โยกย้ายเปลี่ยนไปอยู่ยังปรโลก ด้วยเหตุนี้ ความตายจึงได้ถูกสัมพันธ์ไปยังมนุษย์

ความตาย คือการรับมอบจิตวิญญาณโดยมลักผู้ควบคุมความตาย เหมือนการนอนหลับ ดังนั้น ความตายจึงเหมือนการนอนหลับที่ยาวนาน เป็นการตายในชั่วขณะหนึ่ง ฉะนั้น ความตายจึงไม่ใช่ความสูญสิ้นหรือการดับสลาย ความตายเสมือนเป็นการเกิดใหม่อีกครั้งจากครรภ์ของธรรมชาติ ซึ่งผลของการเกิดใหม่นี้ได้ทำให้เขาเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งไม่อาจเปรียบเทียบได้กับโลกธรรมชาติ เหมือนโลกแห่งมดลูกที่ไม่สามารถเทียบเคียงกับโลกธรรมชาติได้

ความตายคือ สะพานทอดข้ามผ่านทาง ซึ่งหากเดินข้ามไปได้จะทำให้เขาพบกับสิ่งใหม่ และช่วยให้รอดพ้นจากความยากลำบากทั้งปวง นั่นหมายถึงเขาได้พัฒนาบ้านแห่งโลกนี้ให้เจริญก้าวหน้า ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำลายปรโลกให้สูญสิ้นไป

ส่วนคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า มนุษย์สมารถยืดระยะเวลาความตายให้ล่าช้าออกไปได้หรือไม่ : สามารถกล่าวได้ว่ารายงานและโองการอีกหลายโองการ บอกให้เราได้รู้จักกาลเวลาใน 2 ลักษณะกล่าวคือ ความตายที่รอ กับความตายแน่นอน ซึ่งในรายงานและโองการได้กล่าวด้วยนามอื่น

"ความตายที่รอเวลา" สำหรับทุกคนหมายถึง เขาได้ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้ตามความเหมาะสมแล้ว แต่การรอเวลานั้นสามารถยืดหยุ่นให้ยาวออกไปหรือสั้นลงได้ ตัวอย่างเช่น การทำความดีกับเครือญาติหรือการให้ทาน สิ่งเหล่านี้สามารถยืดความตายให้ยาวนานออกไปได้ ขณะเดียวกันการไม่ทำดีกับผู้ปกครอง หรือการตัดสายสัมพันธ์ทางเครือญาติ สิ่งเหล่านี้เท่ากับเป็นการเร่งความตายให้เร็วขึ้น และนี่ก็คือความตายที่บันทึกไว้ในเลาฮุนมะฮฺฟูซ

ส่วน ความตายแน่นอน คือความตายที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ดังที่กล่าวไว้ในอัลกุรอาน

คำตอบเชิงรายละเอียด

ตามหลักการของอิสลาม มีการให้ความหมายความตายแตกต่างกันออกไปตามความเป็นจริง ซึ่งแต่ละคนก็ให้ความหมายอันเป็นแก่แท้ของความตายด้วยกันทั้งสิ้น แต่ก่อนที่จะพิจารณาอัลกุรอานและรายงาน จะกล่าวถึงบทนำซึ่งเป็นทัศนะของนักปราชญ์บางท่านในสายปรัชญา ที่แสดงทัศนะเกี่ยวกับความตายไว้ดังนี้

บูอะลี ซีนา กล่าวว่า ความตายไม่ใช่สิ่งใดอื่นเกินเลยไปจาก การที่จิตวิญญาณครั้งหนึ่งได้ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ แต่บัดนี้มันได้ละทิ้งทั้งหมดแล้ว จุดประสงค์ของอุปกรณ์และสื่อหมายถึง, อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายซึ่งทั้งหมดรวมเรียกว่าร่างกาย[1]

มัรฮูมมุลลา ซ็อดรอ อธิบายว่า : ความตายคือการแยกจากกันของร่างกายและจิตวิญญาณ ซึ่งจิตวิญญาณได้ก้าวไปสู่ขั้นตอนของการเคลื่อนไหวในลักษณะที่เป็นภาวะนามธรรม ซึ่งต่อไปนี้ไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์และสื่ออย่างอื่นจากร่างกายอีกต่อไป ร่างกายเปรียบเสมือนเป็นเรือที่จิตวิญญาณได้โดยสาร เพื่อเดินทางไปสู่พระเจ้าซึ่งจิตวิญญาณได้อาศัยร่างกายเพื่อเดินทางผ่านทั้งทางบกและทางทะเล เมื่อผ่านการขั้นตอนเหล่านั้นไปแล้ว ก็ไม่มีจำเป็นต้องใช้สื่อเหล่านั้นอีกต่อไป ด้วยเหตุผลนี้เองความตายจึงเกิดขึ้น และเนื่องจากความตายได้ผ่านพ้นไปทำให้พลังแห่งธรรมชาติก็สิ้นแรงตามไปด้วย ไม่ใช่ดั่งที่การแพทย์เข้าใจว่าความตายคือการสิ้นชีวิต สิ้นความร้อนอันเป็นความปรารถนาโดยธรรมชาติหรือสิ่งอื่น ทว่าความตายเป็นธรรมชาติสำหรับชีวิต เป็นเชื้อแห่งความดีและความสมบูรณ์แบบ เป็นสิ่งดีและสมบูรณ์แบบสำหรับจิตวิญญาณ เป็นสิทธิของเขา ดังนั้น ความตายคือสิทธิของเขาโดยตรง[2] ในตรงนี้พวกเหตุผลนิยมกล่าวว่า ความตายคือ : การแยกกันระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกาย เป็นการยุติบทบาทการบริหารร่างกาย[3] อย่างไรก็ตามนักปราชญ์อิสลามได้พย่ายามอธิบายความตายจากความหมายของอัลกุรอาน และฮะดีซ ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราได้ย้อนกลับไปดูโองการและรายงานต่างๆ แล้วจะพยายามตีความคำว่า ตาย บนพื้นฐานของความหมายเหล่านั้น

1. บางครั้งอัลกุรอาน กล่าวว่าความตายคือ การสูญเสียชีวิตซึ่งผลของความตายก็เหมือนกับ ความรู้สึกและความปรารถนา แน่นอน การปราศจากชีวิตในสิ่งหนึ่งมีความหมายว่า สิ่งนั้นต้องมีศักยภาพในการมีชีวิตด้วย

อัลกุรอานกล่าวว่า

"و کنتم امواتاً فاحیاکم ثم یمیتکم"

พวกจ้านั้นเคยปราศจากชีวิตมาก่อนแล้วพระองค์ก็ทรงให้เจ้ามีชีวิตขึ้น[4]

หรือเกี่ยวกับรูปปั้นทั้งหลายกล่าวว่า "พวกมันตาย ปราศจากชีวิต และพวกมันไม่รู้ด้วยว่า เมื่อใดจะถูกให้ฟื้นขึ้นมาอีก[5]

ความตายหมายถึงการสูญเสียของชีวิตเมื่อสัมพันธ์ไปยังมนุษย์ ด้วยเหตุนี้เอง จึงกล่าวว่ามนุษย์มีองค์ประกอบอยู่ 2 ประการเมื่อร่างกายอยู่ในมิติของชีวิต หลังจากนั้นก็จะขาดชีวิตชีวิต, จึงสามารถกล่าวได้ว่าความตายได้ครอบงำเหนือมนุษย์ มิเช่นนั้นต้องกล่าวไว้ในอัลกุรอานแล้วว่า จิตวิญญาณได้ตาย เช่นเดียวกับที่ทูตสวรรค์ (มลัก) ไม่ได้ถูกกล่าวว่าตายเช่นกัน[6]

2. ประโยคหนึ่งของอัลกุรอานที่กล่าวถึงความตายโดยชึ้คำว่า ตะวัฟฟา[7] คำๆ นี้มาจากรากศัพท์คำว่า วะฟา ซึ่งหมายถึงการได้รับมอบสิ่งหนึ่งโดยปราศจากความขาดตกบกพร่อง ซึ่งกล่าวว่า เตาฟียะตุลมาล หมายถึง ได้รับทรัพย์พอดิบพอดีไม่ขาดไม่เกิน มีโองการอัลกุรอานประมาณ 14 โองการกล่าวถึงความตาย ซึ่งเป็นการบ่งชี้ให้เห็นแก่นแท้ความจริงที่ว่า ประการแรก: มนุษย์นั้นมีองค์ประกอบอื่นที่นอกเหนือจากวัตถุธาตุ และภายใต้มิติดังกล่าวนั้นจะไม่ตายและไม่สูญสิ้น อีกทั้งเมื่อถึงกำหนดวาระสิ่งนั้นจะถูกมอบแก่เจ้าหน้าที่อย่างคราบสมบูรณ์ ไม่มีสิ่งใดขาดหรือเกินเลย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้รับมอบมิติของจิตวิญญาณ แน่นอน มิติดังกล่าวนี้ไม่ได้อยู่ในภาวะของวัตถุ ดังที่อัลกุรอานหลายโองการกล่าวเรียกสิ่งนั้นว่า จิตวิญญาณ และในมิติของจิตวิญญาณ หรือมิติแห่งพระเจ้าจะทำให้มนุษย์พบกับชีวิตใหม่หลังจากตายไปแล้ว

ประการที่สอง : บุคลิกภาพที่แท้จริงของมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับร่างกาย เพราะร่างกายจะค่อยๆ ถูกทำลายและสลายไป[8] ซึ่งจะไม่ถูกมอบไปที่ใดทั้งสิ้น สิ่งที่สนับสนุนประเด็นดังกล่าวอีกประการหนึ่งคือ โองการเหล่านี้การกระทำบางอย่างของชีวิต เช่น การพูดคุยกับมวลมลัก ความหวัง การต่อรอง ซึ่งได้สัมพันธ์ไปยังมนุษย์หลังจากที่เขาตายไปแล้ว ซึ่งบ่งบอกให้เห็นความจริงว่า แก่นแท้ของมนุษย์ทั้งหมดไม่ใช่ร่างกายที่ปราศจากความรู้สึก มิเช่นนั้นแล้ว การพูดคุย และอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจะไร้ความหมาย และสิ่งนี้คือ บุคลิกภาพที่แท้จริงของมนุษย์ ซึ่งหลังจากตายไปแล้วจะอยู่ภายใต้การควบคลุมของเจ้าหน้าที่แห่งความตาย (มะลาอิกะตุลเมาต์) ฉะนั้น จำเป็นต้องกล่าวว่าความตายคือ การเปลี่ยนสภาพ ไม่ใช่การสูญสิ้น[9] ดังนั้น ความตายจึงเป็นสิ่งมีอยู่สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เอง อัลกุรอานจึงเรียกความตายว่าเป็น สิ่งถูกสร้างหนึ่ง[10]

อัลกุรอานบทซุมัร โองการที่ 42 กล่าวว่า:

اللَّهُ یَتَوَفَّى الْأَنفُسَ حِینَ مَوْتِهَا وَالَّتِی لَمْ تَمُتْ فِی مَنَامِهَا فَیُمْسِکُ الَّتِی قَضَى عَلَیْهَا الْمَوْتَ وَیُرْسِلُ الْأُخْرَى إِلَى أَجَلٍ مُسَمًّى إِنَّ فِی ذَلِکَ لَآیَاتٍ لِّقَوْمٍ یَتَفَکَّرُونَ

อัลลอฮฺ ทรงปลิดชีวิตทั้งหลายเมือครบกำหนดความตายของเขา และชีวิตที่ยังไม่ตายพระองค์จะปลิดขณะนอนหลับ แล้วจะทรงปลิดชีวิตที่ได้ถูกำหนดให้ตายแล้ว และทรงยืดชีวิตออกไปจนถึงเวลาที่ถูกกำหนดไว้ แท้จริงในการนั้นมีสัญญาณสำหรับกลุ่มชนผู้ใคร่ครวญ

คำสรรพนามในคำว่า เมาติฮา และ มะนามิฮา แม้ว่าภายนอกคำสรรพนามทั้งสองจะย้อนกลับไปหาคำว่า อันฟุซะ ก็ตาม แต่ในความเป็นจริงบ่งชี้ให้เห็นถึง ร่างกายของมนุษย์ทั้งหลาย เนื่องจากสิ่งที่ตายคือ ร่างกาย ไม่ใช่จิตวิญญาณ ดังนั้น ความตายเปรียบเสมือนการนอนหลับที่ยาวนาน การนอนหลับคือความตายชั่วคราว อีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าความตายกับการนอนหลับไม่มีสิ่งใดแตกต่างกัน เว้นเสียแต่ว่าการนอนหลับคือความตายที่ไม่สมบูรณ์ กล่าวอนุญาตให้วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้งหนึ่ง[11]

อัลกุรอานบทอัลวากิอะฮฺ โองการที่ 60 และ 61 เข้าใจได้ว่าการเสียชีวิตคือการโยกย้ายจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่ง หรือเป็นการเปลี่ยนการสร้างหนึ่งไปสู่อีกการสร้างหนึ่งไม่ใช่การสูญสลาย หรือการดับสูญแต่อย่างใด[12] ซึ่งสรุปได้ว่า ความตายคือ การเกิดใหม่ หรือการเกิดรอบสองนั่นเอง

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) กล่าวว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า: สูเจ้าไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการดับสูญ (ตาย) ทว่าได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการดำรงอยู่ เพียงแต่โยกย้ายจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่งเท่านั้น[13]

ท่นอิมามอะลี (.) กล่าวถึงความตายว่า ความตายคือการแยกออกจากบ้านที่สูญสลาย และอนิจกรรมไปยังบ้านที่ดำรงอยู่นิรันดร ดังนั้น ปวงผู้มีสติต้องตระเตรียมความพร้อมยังชาญฉลาด[14]  ท่านอิมามฮะซัน (.) ได้เปรียบเทียบความตายไว้ว่า เหมือกับสะพานและทางผ่าน โดยกล่าวว่า ปวงผู้ศรัทธาจะต้องผ่านสิ่งนั้นไปด้วยความทุกข์ทรมาน เพื่อไปสู่สถานที่กว้างไพศาล[15]

แต่มีคำถามว่าเราสามารถยืดเวลาความตายให้ล่าช้าออกไปได้หรือไม่ ? สามารถกล่าวได้ว่าตามหลักการของอิสลามได้กล่าวถึงความตายไว้ 2 ลักษณะด้วยกัน[16] อัลกุรอานกล่าวว่า : พระองค์คือผู้ ..ทรงกำหนดเวลาแห่งความตายไว้ และกำหนดที่ถูกระบุไว้อีกกำหนดหนึ่งอยู่ที่พระองค์[17] หมายถึงมนุษย์ยังมีความตายที่คลุมเครืออีกหนึ่งความตาย ซึ่งอยู่  พระองค์ความตายนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใดทั้งสิ้น ซึ่งอัลกุรอาน บทยูนุส โองการที่ 49 กล่าวเมื่อเวลาของพวกเขามาถึง พวกเขาจะขอผ่อนผันให้ล่าช้าซักระยะหนึ่งไม่ได้ และจะร่นเวลาให้เร็วเข้าก็ไม่ได้"

แน่นอนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างความตายที่ถูกกำหนด กับความตายที่ไม่ได้กำหนด เป็นความสัมพันธ์แบบสมบูรณ์แบบมีเงื่อนไข ด้วยเหตุนี้ เป็นไปได้ที่ว่าความตายนั้นจะไม่เกิดขึ้น ถ้าหากไม่มีเงือนไข ซึ่งต่างไปจาก มุฏลักมุนัจญิซ ที่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เกิดขึ้น อัลกุรอานบท อัรเราะอ์ดุ โองการที่ 39 กล่าวว่า

"لکل اجل کتاب یمحو الله ما یشاء و یثبت و عنده ام الکتاب"،

อัลลอฮทรงยกเลิกสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงยืนหยัดให้มั่น (สิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์) และที่พระองค์คือแม่บทแห่งคัมภีร์(อัลลูฮุลมะฮฟูซ)”

โองการกล่าวว่า ความตายแน่นอน ก็คือสิ่งที่พระองค์บันทึกไว้ใน อัลลูฮุลมะฮฟูซ

คำว่า อุมมุลกิตาบ สามารถนำไปเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นอน หมายถึงเหตุการณ์เมื่อสัมพันธ์ไปยังสาเหตุโดยทั่วไปแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนคำว่า แผ่นบันทึกที่ทรงยกเลิกและทรงยึดมั่น สามารถนำไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่มีสาเหตุไม่สมบูรณ์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นหรือไม่เกิดก็ได้ หรืออาจมีอุปสรรคอย่างอื่นขัดขวางไม่ให้เกิด ด้วยเหตุนี้ บางครั้งความตายที่ถูกำหนดกับไม่ถูกกำหนดอาจจะเข้ากัน หรืออาจไม่เข้ากันก็ได้ ส่วนความตายที่เกิดขึ้นจริงเรียกว่า ความตายที่ถูกำหนด[18]

อย่างไรก็ตาม ความตายที่รอเวลา นั้นมีศักยภาพพอที่จะยืดเวลาให้ล่าช้าออกไปได้ โดยมีอุปสรรคอย่างอื่นมาขัดขวาง ดังจะเห็นได้ว่ารายงานบางบทกล่าวว่า การกระทำภารกิจบางอย่าง จะทำให้อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวนานออกไป ซึ่งชี้ให้เห็นประเด็นดังกล่าวนี้เอง ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการงานดังกล่าวนั้นได้เป็นอุปสรรคกีดขวางไม่ให้ความตายเกิดขึ้น

รายงานกล่าวว่า

"یعیش الناس باحسانهم اکثر مما یعیشون باعمارهم و یموتون بذنوبهم اکثر مما یموتون بآجالهم"؛

ประชาชนได้ดำรงชีวิตด้วยความดีงามต่างๆ ของตน จะมีอายุขัยยืนยาวกว่าบุคคลที่ดำรงชีวิตด้วยอายุขัยธรรมชาติ และมีประชาชนบางกลุ่มตายเนื่องจากบาปกรรมของตน พวกเขาจะมีอายุขัยสั้นกว่าบุคคลที่ตายในเวลากำหนด[19]

บางครั้งกล่าวว่า การบริจาค (เซาะดะเกาะฮฺ) จะหยุดยั้งความตายที่รอคอย หมายถึงยืดเวลาความตายให้ล่าช้าออกไป[20] ซึ่งจะทำให้อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวนานขึ้น ในอีกที่หนึ่งกล่าวว่า การทำความดีกับเครือญาติก็จะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวนานออกไป[21]

สำหรับการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวนี้ (อายุขัยที่ยืนยาวนาน) สามารถศึกษาได้จากหนังมีซานุลฮิกมะฮฺ[22] ภายใต้หัวข้อว่า "ما یدفع الاجل المعلق" و یا "ما یزید فى العمر"



[1] เชค อัรเราะอีส ริซาละตุชชิฟาอ์ มินเคาฟิลเมาต์, หน้า. 340-345

[2] มุลลาซ็อดรอ อัซฟาร เล่ม 9 หน้า 238

[3] ถ้าหากความสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายถูกตัดขาด ซึ่งต่อไปจะไมมีการควบคุมร่างกายอีก เราเรียกสิ่งนั้นว่า ความตาย

[4] อัลกุรอานบทบะเกาะเราะฮฺ โองการที่ 28

[5] อัลกุรอานบทอันนะฮฺลุ โองการที่ 21

[6] ตัฟซีรมีซาน เล่ม 14 หน้า 286

[7]  อัลกุรอานบทอันนะฮฺลุ 32, บทอันฟาล 50, บทอันอาม 60, บทซุมัร 42

[8]  อัลกุรอาน บทอันอาม โองการที่ 60 กล่าวว่าพระองค์คือผู้ที่ทรงให้พวกเจ้าตายคำว่า พวกเจ้า ก็คือสิ่งที่มาจากพระองค์ ที่เรียกว่า ฉัน หรือตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้จะคงอยู่ตลอดไป

[9] ญะวาดออมูลี อับดุลลอฮฺ ตัฟซีรเมาฏูอีกุรอาน เล่ม 3 หน้า 388 , 397, เล่ม 2 หน้า 497, 509

[10] อัลกุรอาน บทมุลก์ โองการที่ 1,2 กล่าวว่า พระผู้ทรงให้มีความตายและให้มีความเป็น ,พัยยอมกุรอาน เล่ม 5 หน้า 430

[11]  ฟัยยอมกุรม เล่ม 5 หน้า 433

[12]  ตัฟซีรอัลมีซาน เล่ม 19 หน้า 133, เล่ม 20 หน้า 356

[13] บิฮารุลอันวาร เล่ม 6 หน้า 249

[14]  นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ ซุบฮิ ซอลิฮฺ หน้า 493, โลกคือทางผ่านไปสู่ปรโลก ซึ่งเจ้าถูกเตรียมพร้อมเพื่อโยกย้ายไปที่นั่นตลอดเวลา, อัลกุรอานบทกิยามะฮฺ 26-30

[15] บิฮารุลอันวาร เล่ม 6 หน้า 154, มะอานี อัลอัคบาร หน้า 274, มีซานอัลฮิกมะฮ เล่ม 9 หน้า 234,

[16] บิฮารุลอันวาร เล่ม 5 หน้า 139

[17]  อัลกุรอานบทอันอาม โองการที่ 2

[18] อัลมีซาน เฎาะบาเฎาะบาอี เล่ม 7 หน้า 8, 10

[19]  บิฮารุลอันวาร เล่ม 5 หน้า 140, มีซานุลฮิกมะฮฺ เล่ม 1 หน้า 30

[20]  มุฮัมมัดเรย์ ชะฮฺริ,มีซานุลฮิกมะฮฺ เล่ม 1 หน้า 30

[21] มุฮัมมัดเรย์ ชะฮฺริ,มีซานุลฮิกมะฮฺ บาบ 1464 และบาบ 1467

[22] มุฮัมมัดเรย์ ชะฮฺริ,มีซานุลฮิกมะฮฺ เล่ม 6 หน้า 549 บาบ 2932

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ความต่างกิจกรรมของวิญญาณขณะนอนหลับ และสลบคืออะไร?
    16383 ปรัชญาอิสลาม 2555/09/29
    รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณขณะตื่นนอน กับการปฏิสัมพันธ์ขณะนอนหลับนั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ตามคำสอนของอิสลามจึงได้เรียกการนอนหลับว่า เป็นพี่น้องของความตาย วิทยาศาสตร์แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายขณะนอนหลับ แต่สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายขณะนอนหลับได้ บนพื้นฐานของการค้นคว้านั้นและการทำสอบพบว่ามนุษย์มีการนอนหลับในสองระดับ ด้วยนามว่า REM และ Non REM ซึ่งทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วการความฝันที่มักเกิดในระดับของ Non REM เกิดจากการหลับลึกซึ่งจะไม่อยู่ในความทรงจำ แต่เฉพาะการนอนหลับในระ REM เท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ ส่วนการสลบหมดสติเกิดจากการเบี่ยงเบนของวิญญาณ และเป็นการหลับที่ลุ่มลึกมาก ทำให้เขาไม่มีความทรงจำอันใดหลงเหลืออยู่ ...
  • ตักวาหมายถึงอะไร?
    17805 จริยธรรมทฤษฎี 2555/01/23
    ตักว่าคือพลังหนึ่งที่หยุดยั้งจิตด้านในซึ่งการมีอยู่ของมนุษย์คือสาเหตุของการมีพลังนั้นและพลังดังกล่าวจะพิทักษ์ปกป้องมนุษย์ให้รอดพ้นจากการกระทำความผิดฝ่าฝืนต่างๆความสมบูรณ์ของตักวานอกจากจะช่วยทำให้มนุษย์ห่างไกลจากความผิดบาปและการก่ออาชญากรรมต่างๆ
  • เหตุใดจึงเรียกอิมามฮุเซนว่าษารุลลอฮ์?
    7333 จริยธรรมทฤษฎี 2554/12/11
    ษารุลลอฮ์ให้ความหมายว่าการชำระหนี้เลือดแต่ก็สามารถแปลว่าเลือดได้เช่นกันตามความหมายแรกอิมามฮุเซนได้รับฉายานามนี้เนื่องจากอัลลอฮ์จะเป็นผู้ทวงหนี้เลือดให้ท่านแต่หากษารุลลอฮ์แปลว่า"โลหิตพระเจ้า" การที่อิมามได้รับฉายานามดังกล่าวเป็นไปตามข้อชี้แจงต่อไปนี้:1. "ษ้าร"เชื่อมกับ"อัลลอฮ์"เพื่อให้ทราบว่าเป็นโลหิตอันสูงส่งเนื่องจากเป็นการเชื่อมคำในเชิงยกย่อง2.มนุษย์ที่บรรลุสู่ความสมบูรณ์ในระดับใกล้ชิดทางภาคบังคับต่างก็เป็นหัตถาพระเจ้าชิวหาพระเจ้าและโลหิตพระเจ้าหมายถึงถ้าหากพระองค์ทรงประสงค์จะทำสิ่งใดมนุษย์ผู้นี้จะเป็นดั่งพระหัตถ์หากทรงประสงค์จะตรัสเขาจะเป็นดั่งชิวหาและหากพระองค์ทรงประสงค์จะพิทักษ์ศาสนาของพระองค์ด้วยโลหิตเขาจะเป็นดั่งโลหิตพระองค์อิมามฮุเซน(อ.)เป็นดั่งโลหิตพระองค์เนื่องจากโลหิตของท่านช่วยชุบชีวิตแก่ศาสนาของพระองค์เราเชื่อว่าความหมายแรกเป็นความหมายที่เหมาะสมกว่าแต่ความหมายที่สองก็เป็นคำธิบายที่น่าสนใจเช่นกันโดยเฉพาะหากเป็นผู้ที่อยู่ในแวดวงจาริกทางจิตอาจทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้งกว่า ...
  • อัลลอฮฺคือสาเหตุที่แท้จริงของการอธรรม และผู้อธรรมหรือ?
    11254 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/09/29
    สำหรับคำตอบคำถามเหล่านี้ จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญเหล่านี้ก่อน 1.รากที่มาของการอธรรมของผู้อธรรมทั้งหลาย สามารถสรุปได้ใน 4 ประเด็นดังนี้คือ 1.ความโง่เขลา 2. การเลือกสรร 3. ความประพฤติอันเลวทราม 4. ความอ่อนแอไร้สามารถ, แต่อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไม่ความอธรรมใดๆ ในพระองค์ ด้วยเหตุนี้ สำหรับพระองค์แล้วคือ ผู้ยุติธรรม ซึ่งเป็นหน่วยเนื้อเดียวกันกับความยุติธรรม และเนื่องจากพระองค์ทรงรอบรู้ และทรงยุติธรรม ภารกิจของพระองค์จึงวางอยู่บนความยุติธรรม และวิทยปัญญาเท่านั้น 2.อัลลอฮฺ ทรงสร้างมนุษย์มาในลักษณะเดียวกัน และได้ประทานแนวทางแห่งการชี้นำทางแก่พวกเขา และทั้งหมดมีสิทธิที่จะเลือกสรรด้วยตนเอง ซึ่งมีบางกลุ่มด้วยเหตุผลนานัปการ หรือมีปัจจัยหลายอย่างเป็นแรงจูงใจให้พวกเขาเลือกหนทางหลงผิด และการอธรรม บางกลุ่มพยายามต่อสู้ชนิดขุดรากถอนโคนการอธรรม ที่แฝงเร้นอยู่ในใจของตนเอง พวกเขามุ่งไปสู่หนทางแห่งการชี้นำ และความยุติธรรม พยามประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ตามรากที่มาของคำถามเหล่านี้ ล้วนมาจากความคิดที่ว่ามนุษย์ได้รับการบีบบังคับให้เป็นเช่นนั้น หรือที่เรียกว่าพรหมลิขิต ทั้งที่เหตุผลของพรหมลิขิตมิเป็นที่ยอมรับแต่อย่างใด เราเชื่อตามคำสอนของศาสนา ...
  • ท่านอับบาสอ่านกลอนปลุกใจว่าอย่างไรขณะกำลังนำน้ำมา
    8982 ชีวประวัตินักปราชญ์ 2554/12/25
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • ข้อแตกต่างระหว่างมะอ์นะวียัตในอิสลามและคริสตศาสนา
    6859 เทววิทยาใหม่ 2554/10/24
    คุณค่าของมะอ์นะวียัตของแต่ละศาสนาขึ้นอยู่กับคุณค่าของศาสนานั้นๆคำสอนของคริสตศาสนาบางประการขัดต่อสติปัญญาโดยที่ชาวคริสเตียนเองก็ยอมรับเช่นนั้นมะอ์นะวียัตที่ได้จากคำสอนเช่นนี้ก็ย่อมมีข้อผิดพลาดเป็นธรรมดาและนี่คือข้อแตกต่างหลักระหว่างมะอ์นะวียัตของอิสลามและคริสตศาสนากล่าวคือโดยพื้นฐานแล้วมะอ์นะวียัตของคริสต์ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้เมื่อพิจารณาถึงแหล่งเนื้อหาที่มีบางจุดขัดต่อสติปัญญาทำให้ไม่สามารถจะนำพาสู่ความผาสุกได้อย่างไรก็ดีสภาพมะอ์นะวียัตของตะวันตกในปัจจุบันย่ำแย่ไปกว่ามะอ์นะวียัตดั้งเดิมของคริสตศาสนาเสียอีกในขณะที่มะอ์นะวียัตของอิสลามนั้นได้รับอิทธิพลจากคำสอนจากวิวรณ์
  • ผู้มีญุนุบที่ได้ทำตะยัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ สามารถเข้ามัสยิดได้หรือไม่?
    6954 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/08
    ผู้ที่มีญุนุบที่อยู่ในเงื่อนไขที่สามารถทำตะญัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่นั้นหลังจากที่ได้ทำการตะยัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่แล้วก็สามารถเข้าไปในมัสยิดเพื่อร่วมทำนมาซญะมาอัตหรือฟังบรรยายธรรมได้ท่านอิมามโคมัยนีได้ให้คำตอบเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า: “ผลพวงทางด้านชาริอะฮ์ที่เกิดขึ้นจากการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่จะมีในกรณีการทำการตะยัมมุมทดแทนเช่นกันนอกจากกรณีการตะยัมมุมทดแทนด้วยเหตุผลที่จะหมดเวลานมาซมัรญะอ์ท่านอื่นๆก็มีทัศนะนี้เช่นเดียวกัน
  • ความสำคัญ และปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คืออะไร?
    7696 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/20
    สำหรับการติดตามผลอย่างมีนัยของการให้ความสำคัญและปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้:1. ...
  • กาสาบานต่อท่านศาสดาและอิมามในเดือนรอมฎอนคือ สาเหตุทำให้ศีลอดเสียหรือ?
    7299 สิทธิและกฎหมาย 2555/07/16
    การสาบาน มิใช่หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ศีลอดเสีย แต่ถ้าได้สาบานโดยพาดพิงสิ่งโกหกไปยังอัลลอฮฺ (ซบ.) ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และตัวแทนของท่านโดยตั้งใจ ซึ่งสาเหตุนี้เองที่กล่าวว่า เป็นการโกหกที่พาดพิงไปยังอัลลอฮฺ ศาสดา (ซ็อลฯ) และตัวแทนของท่าน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ศีลอดเสีย ส่วนคำสาบานต่างๆ ที่อยู่ในบทดุอาอฺไม่ถือว่าโกหก ทว่าเป็นการเน้นย้ำและอ้อนวอนให้ตอบรับดุอาอฺที่ขอต่ออัลลอฮฺ ซึ่งไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้ศีลอดเสียแต่อย่างใด ...
  • ปรัชญาของการมีทาสในอิสลามคืออะไร? อิสลามมีวิธีการจัดการกับสิ่งเหล่าอย่างไร?
    12116 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    ถูกต้องบทบัญญัติเกี่ยวกับ การแต่งงานกับทาส, การเป็นมะฮฺรัมกับทาส, สัญญาซื้อขาย (ข้อตกลงที่จะปล่อยทาสเป็นไท) และ ...ได้ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน, การมีทาสได้รับการยืนยันว่ามีจริงในสมัยของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) และต้นยุคอิสลาม แต่จำเป็นต้องกล่าวว่าอิสลามมีโปรแกรมที่ละเอียดอ่อน และมีกำหนดเวลาในการปลดปล่อยทาสให้เป็นไท ซึ่งบั้นปลายสุดท้ายของทั้งหมดเหล่านั้นคือ การได้รับอิสรภาพเป็นไททั้งสิ้น ดังนั้นการเผชิญหน้าของอิสลามกับปัญหาเหล่านี้ จำเป็นต้องกล่าวถึงประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้: 1-อิสลามมิเคยเริ่มต้นปัญหาเรื่องทาส 2-อิสลามถือว่าปัญหาชะตากรรม และความเจ็บปวดใจของทาสในอดีตที่ผ่านมาคือ ปัญหาความล้าหลังอันยิ่งใหญ่ของสังคม 3-อิสลามได้วางโครงการที่ละเอียดอ่อน เพื่อปลดปล่อยทาสให้เป็นไท, เนื่องจากครึ่งหนึ่งของพลเมืองในสมัยก่อนเป็นทาสทั้งสิ้น, พวกเขาไม่มีอิสรเสรีในการประกอบอาชีพการงาน, ไม่มีปัจจัยสำหรับการดำเนินชีวิตต่อไป.ถ้าหากอิสลามได้มีคำสั่งต่อสาธารณชนว่าให้ทั้งหมดปล่อยทาสให้เป็นไท, ซึ่งเป็นไปได้ว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาจะต้องสูญเสียชีวิต หรือไม่ชนส่วนใหญ่ก็จะต้องว่างงานไร้อาชีพ หิวโหย ถูกกีดกัน และพวกเขาต้องได้รับแรงกดดันจนกระทั่งเข้าทำร้ายและโจมตีในทุกที่ การประจัญบาน การนองเลือด และการทำลายกฎระเบียบของสังคมก็จะทวีความรุนแรงขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง อิสลามได้วางแผนการไว้อย่างละเอียด เพื่อดึงดูดสังคมให้ทาสเหล่านี้ได้รับอิสรภาพ และเป็นไทไปที่ละน้อย ซึ่งแผนการดังกล่าวมีองค์ประกอบหลายประการด้วยกัน ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60136 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57576 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42222 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39377 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38954 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34008 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28026 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27971 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27808 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25805 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...